เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2563 ประเทศไทยได้จัดการเลือกตั้งระดับท้องถิ่นใน 75 จังหวัด (ยกเว้นกรุงเทพมหานคร) เพื่อให้ได้มาซึ่งบรรดานายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) และสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด (ส.อบจ.) โดยถือเป็นการเลือกตั้งท้องถิ่นครั้งแรกในรอบ 8 ปี (ครั้งสุดท้ายคือปี 2555) ซึ่งก็ผ่านพ้นไปด้วยความราบรื่น โดยมีประชาชนพลเมืองออกมาใช้สิทธิ์กันประมาณ 57.7% คิดเป็น ล้านคน
ในครั้งนี้ ถือเป็นครั้งแรกอีกเช่นกันที่ผู้สมัครการเมืองท้องถิ่นสวมเสื้อพรรคการเมืองระดับชาติ ซึ่งก็เป็นที่น่าสนใจว่า ในอนาคตจะมีการเชื่อมโยงนโยบายระดับชาติ เข้ากับนโยบายท้องถิ่นด้วยหรือไม่
เมื่อหันมาพิจารณาผู้ชนะการเลือกตั้งท้องถิ่นส่วนใหญ่ ก็พอประเมินได้ว่า ต่างเป็นผู้ที่เกี่ยวข้อง หรือไม่ก็มาจาก “ตระกูล” หรือ “ราชวงศ์” ทางการเมือง (Political Family-Dynasty) เพราะผู้มีอำนาจในท้องถิ่นต่างก็มีเยื่อใยกับพรรคการเมือง ครอบครัวการเมือง รวมทั้งกลุ่มอิทธิพลการเมืองระดับชาติ ก็คงไม่ได้ไปใส่ใจกับ เงินเดือนและค่าตอบแทน (ตามระเบียบกระทรวงมหาดไทยปี พ.ศ.2554) ของ นายก อบจ. ที่ 75,530 บาท/เดือน (3.62 ล้านบาท/วาระ)และ สมาชิก ส.อบจ. ที่ 19,440 บาท/เดือน(9.33 แสนบาท/วาระ) กันสักเท่าไหร่
ยิ่งไปกว่านั้น ผู้ได้รับชัยชนะหลายๆ คน ยังไม่พ้นที่จะมีความเกี่ยวพันกับอาชีพสีเทาๆ (มักเป็นที่ทราบกันดีโดยผู้คนในท้องถิ่น) ก็เลยเป็นที่น่าห่วงใยว่าคนเหล่านี้จะเข้าไปดูแลและบริหารงบประมาณท้องถิ่น (ที่มาจากภาษีต่างๆ เช่น ภาษีบำรุงท้องที่, โรงเรือน, ป้าย) และงบอุดหนุน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กันอย่างไร โดยปี พ.ศ.2564 นี้ รัฐบาลได้จัดสรรไว้สูงถึง 90,978.4 ล้านบาท โดยแบ่งกันไปมากน้อยตามขนาดแต่ละจังหวัด จังหวัดที่ได้รับน้อยที่สุดคือ อบจ.สิงห์บุรี 118.8 ล้านบาท/ปี(473 ล้านบาท/วาระ) มากที่สุดคือ อบจ.นครราชสีมา 2,303.4 ล้านบาท/ปี (9,200 ล้านบาท/วาระ) ซึ่งถือเป็นปัญหาที่ต้องพยายามแก้ไขกันต่อไป เพื่อให้ผลของการเลือกตั้งท้องถิ่นได้เข้ากับครรลองกฎหมาย และหลักธรรมาภิบาล
การเลือกตั้งเมื่อวันที่ 20 ธันวาคม ที่ผ่านมา ประชาชนพลเมืองในแทบทุกจังหวัด ได้ออกมาทำหน้าที่พลเมืองและใช้สิทธิพื้นฐานของการเป็นมนุษย์กันไปแล้วก็เป็นเรื่องที่ดีต่อการขับเคลื่อนสังคมเสรีประชาธิปไตยให้เข้มแข็ง และก้าวไปข้างหน้าต่อไป ยกเว้นก็เพียงชาวกรุงเทพฯ ที่จะมีการเลือกตั้งท้องถิ่นในต้นปีหน้า (พ.ศ. 2564)
การเลือกตั้งระดับท้องถิ่นถือเป็นส่วนหนึ่งของประชาธิปไตยในระดับรากหญ้า และเป็นการวางมาตรฐานของความใกล้ชิดระหว่างตัวผู้แทนท้องถิ่น กับชาวบ้านในท้องถิ่น ซึ่งเมื่อเลือกกันขึ้นมาแล้ว ก็เป็นแค่ขั้นแรก โดยขั้นต่อไปก็คือ บรรดาผู้แทนจะต้องเสนอแผนงานและต้องปรึกษาหารือกับชาวบ้าน เพื่อให้มีการตัดสินใจร่วมกันเพื่อประโยชน์ของส่วนรวม
ฉะนั้น การเป็นตัวแทน (Representative) ก็ต้องควบคู่ไปกับการร่วมทำร่วมคิดร่วมตัดสินใจ (Consultationand deliberation) ซึ่งก็เป็นเรื่องที่สังคมจะต้องติดตามดูกันต่อไป
ในการนี้แวดวงสื่อก็ต้องทำหน้าที่อย่างแข็งขัน ในการช่วยเป็นหูเป็นตา เป็นผู้รวบรวมข้อมูลข่าวสาร แล้วเสนอต่อสาธารณชน สื่อเป็นส่วนหนึ่งของการเสริมสร้างประชาธิปไตยของการตรวจสอบ และการมีส่วนร่วม
อย่างไรก็ดี ก่อนหน้าวันที่ 20 ธันวาคม 2563 ซึ่งช่วงการหาเสียง รวมทั้งวันเลือกตั้งท้องถิ่น ในภาพรวมแล้ว สื่อต่างๆ กลับดูเหินห่าง ไม่ค่อยคึกคักเท่าที่ควร ซึ่งถ้าเป็นสื่อเอกชน อาจจะพอแก้ตัวแทนได้ว่าเป็นเรื่องของเขาที่จะให้ความสนใจเรื่องการเมืองท้องถิ่นมากน้อยหรือไม่ ก็แล้วแต่สื่อนั้นๆ
แต่หากเป็นสื่อสาธารณะ (เป็นของรัฐ) แล้ว ก็ต้องขอวิพากษ์วิจารณ์ในเชิงติเตียนกันหน่อยว่า เหตุใดถึงจึงไม่เอาใจใส่ ไม่ได้ให้ความสนใจเรื่องราวการเลือกตั้งท้องถิ่นครั้งนี้เท่าที่ควร เสมือนแทบมิได้ทำหน้าที่ในการร่วมกัน
ส่งเสริมประชาธิปไตย
ทั้งๆ ที่การเผยแพร่ข่าวสาร ติดตามการหาเสียง และต่อมาการนับคะแนน และปรากฏผลอย่างต่อเนื่องนั้น เป็นการเสริมสร้างองค์ความรู้ ทักษะความเป็นนักประชาธิปไตยให้กับประชาชนพลเมือง แต่กลับถูกเบียดบัง
เวลาออกอากาศไปให้บรรดารายการบันเทิง รายการโฆษณาขายยาเสริม อาหารเสริม และผลิตภัณฑ์เสริมความงามจนรู้สึกว่าสิ่งเหล่านี้นั้นมีความสำคัญมากกว่าเรื่องการพัฒนาประชาธิปไตยของชาติไทยอย่างมากมาย สะท้อนให้เห็นว่า บรรดาผู้บริหารและองค์กรไม่มีจิตวิญญาณเป็นประชาธิปไตย และฉะนั้น จึงเป็นการเสียโอกาสเสริมสร้างความสนอกสนใจในเรื่องประชาธิปไตยไปเปล่าๆ
สิ่งเหล่านี้จึงถือเป็นความล้มเหลวอย่างใหญ่หลวงในการทำหน้าที่ของสื่อรัฐต่างๆ ซึ่งควรจะได้มีการทบทวน ตรวจสอบ และตักเตือนกัน โดยเฉพาะจากผู้เป็นรัฐบาลบริหารประเทศ ที่มักอ้างตนว่ามาจากกระบวนการประชาธิปไตย
ในขณะเดียวกัน ไม่ว่าจะมีการเลือกตั้งครั้งใดคณะกรรมการการเลือกตั้งจะต้องประสานงานกับสื่อรัฐอย่างแข็งขัน เพื่อให้ข่าวสาร ข้อมูลการเลือกตั้ง ได้เผยแพร่ออกไปอย่างถูกต้อง และทั่วถึง รวมทั้งกระตุ้นให้ประชาชนออกมาใช้สิทธิ์ ออกมาเป็นส่วนหนึ่งในการเสริมสร้างประชาธิปไตย
ในการนี้ก็คงไม่พ้นที่จะต้องกล่าวโทษคณะกรรมการการเลือกตั้งด้วย ที่มิได้กระตือรือร้นใดๆ ที่จะเผยแพร่ข่าวสารออกไปสู่ประชาชนพลเมือง และมิได้ไปพยายามกระตุ้นสื่อมวลชนให้ประชาสัมพันธ์ จึงทำให้การรับรู้และการตื่นตัวของสาธารณชนไม่คึกคักเท่าที่ควร ซึ่งคณะกรรมการการเลือกตั้ง ก็สมควรจะต้องออกมาชี้แจง และออกมาขอโทษต่อสังคมในประเด็นความบกพร่องดังกล่าวด้วย
และก็หวังว่าคณะรัฐบาล และฝ่ายรัฐสภาจะได้ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ตามควรด้วย และขอฝากให้มีการฝึกอบรมการเป็นนักเสรีประชาธิปไตย และผู้รับใช้ประชาชนให้แก่บรรดา นายก อบจ. และสมาชิก ส.อบจ. ด้วย ก่อนที่จะเริ่มปฏิบัติงาน
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี