l ๑. การเปลี่ยนแปลง จักต้องเริ่มต้น ที่ “ความคิด”
(๑) เพราะ “ความคิด” มีความสำคัญที่ก่อเกิดพลังและความปรารถนาที่จะเปลี่ยนแปลง
Mark Blyth : ความคิดสำคัญ เพราะ
หนึ่ง เป็นตัวจัดทางเลือก
ทั้งในการทำความเข้าใจความซับซ้อนที่มีอยู่ในความไม่แน่นอนที่เผชิญ และทางเลือกในการรับมือกับปัญหาที่เห็นว่าเป็นประเด็นที่ต้องแก้
สอง ใช้เป็นจุดศูนย์กลางในการระดมการปฏิบัติการร่วมกัน ระดมการสร้างพันธมิตรให้เข้ามาสมัครสมานทำงานร่วมกัน
สาม เป็นอาวุธเป็นเครื่องมือยังให้เกิดพลัง เช่น
พลังจากความคิดที่เหนือกว่า
พลังจากความชอบธรรมที่มากกว่า หรือเป็นอาวุธที่ลดทอนพลังความชอบธรรมของฝ่ายอื่น
สี่ ให้พิมพ์เขียวแก่การจัดความสัมพันธ์ในเชิงสถาบันที่จะยังให้เกิดระเบียบ
ห้า การรักษาเสถียรภาพของสถาบันและระเบียบที่ได้รับการจัดขึ้นมาแล้ว
(๒) พื้นฐานความคิดที่สำคัญ มี ๒ ประการ คือ
หนึ่ง ประเทศมีปัญหาวิกฤติ ทั้งปัญหาภายใน และปัญหาประเทศรอบข้าง พัฒนาแซงหน้าเราไป รวมทั้งโลก มีการพัฒนาและเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว
สอง ประเทศเรา มีศักยภาพมากมาย หลากหลายที่จะพัฒนาไปได้ (โลก และประเทศมหาอำนาจ จีน อเมริกา จึงให้ความสำคัญยิ่งต่อประเทศไทย)
(๓) ความคิด มีความสัมพันธ์ เกี่ยวข้อง หรือเชื่อมโยง กับเรื่องที่สำคัญบางประการ
หนึ่ง ความคิดของบุคคล (Ideas) กับสถาบัน (Institutions)
สอง บุคคลหรือปัจเจกกับระบบโครงสร้าง
(๔) ความสัมพันธ์ ระหว่าง “สถาบันและบุคคล”
หนึ่ง การจัดความสัมพันธ์ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เป็นจริง จะก่อประโยชน์ได้สูงสุด
สอง โครงสร้าง หรือสถาบัน จะมีบทบาทและอำนาจหน้าที่กำหนดไว้ในสังคม
สาม แต่บทบาทของคน (แต่ละคนที่ดำรงฐานะสำคัญในสถาบัน) ที่เป็นผู้ปฏิบัติ มีความสำคัญ จะต้องใช้ความคิด ว่าจะทำอะไร จะเลือกตั้งเป้าหมายแบบไหน เลือกทำทางไหน และจะดำเนินวิธีการอย่างไร จะใช้โอกาสใด ที่เกิดประโยชน์สูงสุด
(๕) ความคิดต่อส่วนที่เป็นสถาบัน
หนึ่ง ส่วนที่เป็นสถาบัน
สอง ส่วนที่เป็นบุคคล (ที่เป็นผู้ก่อการ หรือกระทำการ)
สาม ส่วนที่เป็นความคิดเกี่ยวกับบทบาทของสถาบันในสังคมการเมืองได้
(๖) ต้องมีแนวคิดหลัก ชี้นำเป็นความคิดที่จักต้องมี ต้องเป็น จึงจะสามารถผลักดันให้ประเทศเราก้าวหน้าไปได้ มี ๒ แนวคิดสำคัญ ที่มีความคิดความเห็นต่างกัน (ต่างฝ่ายต่างเชื่อมั่นว่า
เป็นไปได้ และของอีกฝ่ายไปไม่ได้)
หนึ่ง ต้องยึดแนวทางสากล ที่ชาวโลกยอมรับ โดยเลือกหลักการที่สามารถนำมาใช้เปลี่ยนแปลงได้
สอง ต้องนำความคิดทางสากล ในส่วนที่สอดคล้องใกล้เคียงกัน มาปรับให้สอดคล้องกับสังคมไทย
(๗) การเปลี่ยนแปลงในระดับประเทศ มิได้ เป็นไปง่ายๆหรือมีสูตรตายตัว เหมือนในสมัยก่อนๆ
แต่ในสภาพความเป็นจริงของสังคมไทย ที่มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากมาย นับตั้งแต่ ๒๔๗๕ มีสถาบัน หน่วยงาน องค์กร และบุคคลระดับผู้นำ รวมทั้ง ภาคสื่อฯ ทั้งของเดิม และของใหม่มีทั้งส่วนที่มีปัจจัยบวก และมีปัจจัยลบ ทำให้มีความสลับซับซ้อน และยากต่อการเปลี่ยนแปลง
ซึ่งทำให้ สังคมไทย ไม่มีอำนาจใดที่สูงสุด ที่จะสามารถกำหนด หรือสั่งการใดๆ ได้ทั้งหมด
คือ สังคม จักมีดุลอำนาจในสังคม ที่ทั้งดุลกัน สนับสนุนร่วมมือ หรือคัดค้านโต้แย้งกันการเปลี่ยนแปลง ที่มีพลัง จึงอยู่ที่
หนึ่ง มีสถาบันหนึ่ง พัฒนาตนให้มีอำนาจสูงสุด เหนือกว่าอำนาจอื่นๆ
สอง การ “จัดการ” ให้เกิดความร่วมมือกัน ของฝ่ายต่างๆที่สำคัญและมีอำนาจซึ่ง มิใช่เป็นเรื่องที่ง่ายๆ เพราะ “ต่างฝ่าย ต่างมีความคิด เป้าหมายและผลประโยชน์ของตน ที่ต่างกัน “รวมทั้ง ปัจจัยของ ความคิดของผู้คน ในหลากหลายรุ่นและวัย ที่แตกต่าง และเกิดช่องว่างใหญ่ อีกทั้งปัจจัยทางสากล โดยเฉพาะ ประเทศมหาอำนาจ ที่มีอิทธิพลต่อประเทศไทยอย่างสูงนี่เป็นปัญหาที่
ซับซ้อนและละเอียดอ่อนอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
จึงก่อให้เกิด “ความไม่แน่นอน uncertainty” สูงยิ่ง
ความไม่แน่นอนนั้น ขึ้นอยู่กับ ความไม่แน่นอน
เราไม่รู้ว่าเรารู้มากแค่ไหนหรือถูกต้องเพียงใด ไม่มีขอบเขต ที่เป็นไปได้ ระหว่าง : “ความรู้ ความเห็น และความไม่รู้”
จึงทำให้เป็น อุปสรรค หรือ ความยากยิ่ง ในการเปลี่ยนแปลง
l ๘. การเปลี่ยนแปลงในโลก มี อยู่ ๒ ประการ
หนึ่ง การเปลี่ยนแปลง เพราะ “คน” ผู้นำระดับรัฐบุรุษ เป็นผู้กำหนด
สอง การเปลี่ยนแปลง เมื่อถึงจุดเปลี่ยน คือ ปัจจัยและสิ่งแวดล้อม “สุกงอม” แล้ว
ประเภทแรก น่าจะเกิดผลดี เป็นไปตามการกำหนดของคน แต่ประเภทหลัง อันตรายและไม่รู้อะไรจะเกิดขึ้น!
l ๒. แนวทางในการเปลี่ยนแปลงในเรื่องหลักที่สำคัญของสังคมไทย
(๑) ใช้แนวทางใด
หนึ่ง ใช้แนวทางหลัก นำทาง
สอง ใช้หลายแนวทาง ที่มีจุดประสงค์ร่วม ที่จักนำไปสู่การสร้างประชาธิปไตย เพื่อคนส่วนใหญ่
โดยมีเป้าหมายร่วม
หนึ่ง ลดอำนาจรัฐ พรรคการเมือง ข้าราชการ กลุ่มทุน ลง
สอง เพิ่มอำนาจประชาชน
สาม สร้างความเข้มแข็ง ของกฎหมาย ที่สามารถเอาผิด ผู้ที่ฝ่าฝืนได้ โดยเฉพาะ การควบคุม ระบบการเลือกตั้งทั่วไป ให้ได้คนดี และลงโทษผู้ทำผิดกฎหมาย อย่างจริงจัง
สี่ สร้างระบบธรรมาภิบาล โปร่งใส ตรวจสอบได้(ทั้งภาครัฐ ภาคสังคม และภาคประชาชน)
(๒) การเปลี่ยนแปลงด้านใด?
หนึ่ง การเปลี่ยนแปลงทางด้านการเมือง
มีหลักยึดที่สำคัญ คือ “การเมือง” เป็นการจัดสรร ในเรื่องของอำนาจ ให้แก่คนหลากหลายในสังคมฉะนั้น ต้องเริ่มจากการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองให้ได้ก่อน แล้วใช้การเมืองที่ถูกต้องนี้ไปปรับเปลี่ยน ด้านเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม สิ่งแวดล้อม
สอง การเปลี่ยนแปลงด้านเศรษฐกิจ
โดยมีหลักการว่า “เศรษฐกิจเป็นพื้นฐานของสังคม” เมื่อเศรษฐกิจดี ทุกอย่างก็จะปรับตัว เปลี่ยนแปลงไปได้
มีเป้าหมายสำคัญ ๒ อย่าง
๑.ความมั่งคั่ง ต่อประชาชนอย่างเท่าเทียมกัน หรือไม่แตกต่างกันมาก
๒.ความมั่งคั่ง ต่อ ประเทศชาติ ให้ไทยก้าวพ้น “รายได้กับดักปานกลาง” ไปสู่ “รายได้สูง”
สาม การพัฒนาด้านความคิด (ความรู้) ของผู้นำและประชาชนที่เป็น Key สำคัญ เป็นการเปลี่ยนแปลง ไปสู่ระดับคุณภาพของคน ที่มีสติปัญญา และพลังในการเปลี่ยน
สี่ การเปลี่ยนแปลงในด้านหลักสำคัญอื่นๆ
- ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
- การใช้ “ศีลธรรม” นำทาง
- การเปลี่ยนแปลง โครงสร้างประชากร คนแก่มีมากขึ้น เด็กเกิดน้อยลง
- การเปลี่ยนแปลงแนวคิดของคนรุ่นใหม่ และรุ่นต่อๆไป ที่แตกต่างไปจากเดิม
- การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี นวัตกรรมใหม่ๆ ที่มีบทบาทมากำหนดชีวิตในสังคมแทน
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี