กรณีตีกลับบัญชีรายชื่อแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการอัยการทำให้คนในสังคมต้องสนใจว่า มีตำหนิอะไรอยู่ในบัญชีดังกล่าว?มันมีอะไรผิดปกติในการแต่งตั้งข้าราชการอัยการหรือไม่?มันเกี่ยวอะไรกับเรื่องฉาวโฉ่กรณีสั่งไม่ฟ้องคดีบอส-วรยุทธ อยู่วิทยา ที่สังคมไทยรับไม่ได้อยู่ก่อนหน้านี้ หรือไม่?
1. หลังจากที่นายกฯ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ไฟเขียวให้ ศ.วิชา มหาคุณ และคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงฯ ลุยสอบกรณีสั่งไม่ฟ้องคดีบอส กระทั่งข้อเท็จจริงปรากฏสู่สาธารณะอย่างชัดเจน เห็นความฟอนเฟะ น่าละอาย ตีแผ่ขบวนการวิ่งเต้นช่วยคดีบอสของบุคคลในกระบวนการยุติธรรม
จากนั้น ส่งเรื่องต่อไปให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดการชำระสะสางให้ถูกต้อง รวมทั้งดำเนินคดีอาญากับผู้เกี่ยวข้องกับเรื่องอันฉาวโฉ่ดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็น ป.ป.ช. ป.ป.ท. ตำรวจ
อัยการ
เชื่อว่า คนทั่วไทยอาจจะหวังว่า ทุกอย่างคงจะเป็นไปตามทางที่ควรเป็นแล้ว
คนกระทำผิด หรือต้องสงสัยว่ากระทำผิด ก็สมควรจะรับผลกรรม ถูกสอบสวนดำเนินคดี และมิให้ไปข้องเกี่ยวกับกระบวนการยุติธรรมแบบเดิมอีก เพราะจะนำความเสื่อมเสียและความไม่น่าเชื่อถือมาสู่สถาบันอัยการ จะปลดออก ไล่ออก จะอย่างไรก็็สุดแท้แต่
2. กระทั่งข่าวอื้ออึงล่าสุด กรณีบัญชีรายชื่อแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการอัยการ ถูกสำนักนายกรัฐมนตรีตีกลับไปที่สำนักงานอัยการสูงสุด เพื่อให้คณะกรรมการอัยการ (ก.อ.) พิจารณาทบทวนรายชื่อใหม่ ปรากฏชื่อรองอัยการสูงสุดที่เป็นปัญหารายนั้นด้วย
แน่นอน.. อัยการเป็นอิสระ ไม่อยู่ใต้อาณัติสั่งการในการปฏิบัติหน้าที่
แต่ต้องไม่ใช่ “รัฐอิสระ” หรือ “แดนสนธยา”
3. สำนักข่าวอิศรารายงานว่า แหล่งข่าวที่เป็น กรรมการ ก.อ. รายหนึ่ง ยืนยันว่าสำนักนายกฯ ได้ส่งเรื่องคืนมาที่สำนักงานอัยการสูงสุด เมื่อวันที่ 25 ธ.ค. 2563 และในการประชุมคณะกรรมการ ก.อ. เมื่อวันที่ 29 ธ.ค. 2563 ได้มีการแจ้งเรื่องนี้ต่อที่ประชุม ซึ่งภายหลังกรรมการ ก.อ. ทราบเรื่องก็สร้างความตกใจให้กับกรรมการทุกคนเป็นอย่างมาก เพราะในช่วงตลอดการทำงานของสำนักงานอัยการสูงสุดกว่า 125 ปี ไม่เคยเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น
นายอรรถพล ใหญ่สว่าง ประธานคณะกรรมการอัยการ (ก.อ.) กล่าวว่า เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องสำคัญ ในวันเปิดทำการราชการ วันที่ 4 ม.ค. 2564 ตนจะเรียกอธิบดีอัยการสำนักงานคณะกรรมการอัยการ ในฐานะเลขา ก.อ.เข้ามาหารือเพื่อที่จะเรียกนัดประชุม ก.อ.วาระพิเศษโดยเร็วที่สุด
4. ส่วนเหตุผลที่ทำให้มีการตีกลับไปนั้น จากการตรวจสอบทราบว่า เมื่อวันที่ 23 ธ.ค.ที่ผ่านมา มีหนังสือสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี นร.0508/7419 เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการอัยการและอัยการอาวุโส ถึงนายวงศ์สกุล กิตติพรหมวงศ์ อัยการสูงสุด
สาระสำคัญ ระบุว่า ...ตามที่ขอให้นำความกราบบังคมทูลพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม แต่งตั้งข้าราชการอัยการและอัยการอาวุโสให้ดำรงตำแหน่งต่างๆ จำนวน 975 ราย ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2563 เป็นต้นไป ซึ่งในจำนวนดังกล่าวรวมถึง นายเนตร นาคสุข รองอัยการสูงสุด (ข้าราชการอัยการชั้น 7) ดำรงตำแหน่งอัยการอาวุโส สำนักงานคดีอาญาพระโขนง (ลำดับที่ 871) ตามหนังสือที่อ้างถึงนั้น
“..โดยที่มีกรณีปรากฏเป็นข่าวทางสื่อมวลชนว่าคณะกรรมการอัยการได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนความผิดวินัย นายเนตร นาคสุข กรณีสั่งไม่ฟ้องนายวรยุทธ อยู่วิทยา ในคดีขับรถยนต์ชนข้าราชการตำรวจเสียชีวิตเมื่อปี 2555 ซึ่งกรณีดังกล่าวเป็นที่สนใจของสื่อมวลชนและประชาชนโดยทั่วไป
ดังนั้น เพื่อให้การนำความกราบบังคมทูลพระกรุณาในเรื่องการแต่งตั้งข้าราชการอัยการดังกล่าวเป็นไปด้วยความเรียบร้อยและรอบคอบ ประกอบกับสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีได้แจ้งแนวทางปฏิบัติในการเสนอเรื่องที่ต้องนำความกราบบังคมทูลขอพระราชทานพระมหากรุณาว่า เรื่องที่เสนอต้องมีข้อมูลอันเป็นที่ยุติชัดเจนก่อนที่จะส่งเรื่องมา เพื่อขอให้นำความกราบบังคมทูลพระกรุณาต่อไป ตามหนังสือที่อ้างถึง
ในการนี้ สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีจึงขอทราบข้อมูลข้อเท็จจริงเรื่องดังกล่าวว่า ได้มีการพิจารณาอันเป็นที่ยุติที่ชัดเจนแล้วหรือไม่ประการใด ทั้งนี้ ขอได้โปรดแจ้งข้อมูลข้อเท็จจริง พร้อมผลการพิจารณาที่เกี่ยวข้องให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เพื่อนำไปเป็นข้อมูลประกอบการนำความกราบบังคมทูลพระกรุณาต่อไป จึงกราบเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณาดำเนินการต่อไป...”
ยิ่งกว่านั้น ยังมีรายงานว่า มีหนังสือสอบถามกรณีนายเนตร นาคสุข ผู้ได้รับการเสนอแต่งตั้งอัยการอาวุโสอยู่ระหว่างถูกตั้งกรรมการสอบสวนวินัย และนายปรเมศวร์อินทรชุมนุม ผู้ได้รับการเสนอชื่อแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจการอัยการ เคยถูกตั้งกรรมการสอบสวนชั้นต้นและอยู่ระหว่างการถูกดำเนินคดีขับรถยนต์ในขณะมึนเมา เป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ โดยขอให้ อสส.ยืนยันความถูกต้องเหมาะสม รวมทั้งข้อมูลซึ่งเหตุผลใดๆ ที่จะเป็นประโยชน์ต่อการนำความกราบบังคมทูลทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งต่อไป
5. หลายคนที่ไม่รู้ ก็อาจจะเพิ่งได้รู้
หลายคนที่ไม่เชื่อ ก็จะได้เชื่อว่าเขากล้าทำกันแบบนี้จริงๆ
นั่นคือ ยังมีการเสนอแต่งตั้งนายเนตร นาคสุข รอง อสส. ที่สั่งไม่ฟ้องคดีบอส และสั่งไม่อุทธรณ์คดีฟอกเงินของนายพานทองแท้ เป็นอัยการอาวุโส ในสำนักงานอัยการสูงสุดต่อไป
น่าสงสัยว่า ในองค์กรอัยการที่มี “ทนายแผ่นดิน” กว่า 3 พันคนนั้น มีคนเก่ง คนดี คนมีความรู้ความสามารถจำนวนมาก ท่านทั้งหลายมีความภาคภูมิใจที่สถาบันอัยการได้ตั้งให้นายเนตร นาคสุข เป็นอัยการอาวุโสจริงหรือ?
นี่คือแบบอย่างของอัยการที่ดี ทนายแผ่นดินที่ดี จริงๆ หรือ?
6.ข้อเท็จจริงที่ปรากฏจากการตรวจสอบของคณะกรรมการชุด ศ.วิชา มหาคุณ นั้น ระบุถึงขบวนการแทรกแซงวิ่งเต้นคดีบอส บ่งชี้ว่ามีอัยการบางคนพยายามตัดตอนคดี, มีคนวิ่งเต้นคดีช่วยเหลือผู้ต้องหา, มีการปั้นแต่งพยานหลักฐานเท็จ ฯลฯ โดยอัยการบางคนที่เข้าไปวิ่งเต้นคดีนั้น ขณะนั้น อ้างสังกัด “อัยการคดีพิเศษ” โดยที่อัยการสูงสุดคนปัจจุบันก็เคยดำรงตำแหน่งอธิบดีอัยการคดีพิเศษในช่วงเกิดเหตุ
จนบัดนี้ ก็ยังไม่มีคำชี้แจงจากปากอดีตอธิบดีอัยการคดีพิเศษท่านนั้นเลย
พยานปากเอกที่เสียชีวิตกะทันหันที่จังหวัดเชียงใหม่ ก็พบว่าเป็นลูกน้องของอดีต สว.ที่มีความสนิทสนมคุ้นเคยกับอัยการสูงสุดคนปัจจุบัน ถึงขนาดมีภาพไปร่วมงานบุญงานบวชกันมา
7. ในรายงานผลการตรวจสอบฯ ระบุอย่างชัดเจนว่า รองอัยการสูงสุดที่สั่งไม่ฟ้องคดีบอส ใช้อำนาจและดุลพินิจที่ไม่ชอบ และอัยการสูงสุด ในฐานะผู้มอบอำนาจ ก็ไม่อาจปฏิเสธความรับผิดชอบต่อความบกพร่องในการกำกับการปฏิบัติหน้าที่ของ รองอัยการสูงสุดผู้รับมอบอำนาจได้
“...คณะกรรมการเห็นว่า การใช้อำนาจในการสั่งคดีร้องขอความเป็นธรรม และต่อมา การสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาในคดีอาญาของนาย น. ในฐานะรองอัยการสูงสุด ปฏิบัติราชการแทนอัยการสูงสุด เป็นการใช้อำนาจและดุลพินิจที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายและน่าเชื่อว่ามีเจตนาช่วยเหลือผู้ต้องหามิให้ ต้องรับโทษ เพราะเหตุของการเจาะจงให้มีการสอบเพิ่มเติมและรับฟังเฉพาะพลอากาศโท จ. และ นาย จ. ซึ่งเป็นพยานเคยถูกสอบไปแล้วในการร้องขอความเป็นธรรมหลายครั้งก่อนหน้า มิใช่พยานหลักฐานใหม่แต่อย่างใด
นอกจากนั้น ผู้พิจารณาการร้องขอความเป็นธรรมในแต่ละครั้งอัน ได้แก่ รองอัยการสูงสุดหรืออัยการสูงสุดได้เคยพิจารณาอย่างรอบคอบแล้วว่าเป็นพยานหลักฐานที่มีพิรุธและไม่น่าเชื่อถือและนาย น. เชื่อคำพยานพลอากาศโท จ. เพียงเพราะเป็นข้าราชการระดับสูง แต่กลับไม่เชื่อเหตุผลและดุลพินิจ ของอดีตอัยการสูงสุดและรองอัยการสูงสุดที่สั่งให้ยุติการร้องขอความเป็นธรรมในทุกครั้งก่อนหน้า อีกทั้งไม่นำพาต่อความเห็นและเหตุผลของพนักงานอัยการผู้ทำความเห็นชั้นต้นที่เสนอให้ยุติการร้องขอความเป็นธรรมที่สอดคล้องกับเหตุผลการยุติความเป็นธรรมทั้งสิบสามครั้งก่อนหน้า
การใช้อำนาจสั่งไม่ฟ้องของนาย น. จึงอยู่บนพยานหลักฐานเก่าที่ได้มีการพิจารณามาแล้วหลายครั้ง เป็นการกลับดุลพินิจอันเป็นความเห็น ของอดีตผู้บังคับบัญชาและอดีตรองอัยการสูงสุดซึ่งทำหน้าที่มาก่อนตนโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร ดังนัยคำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๓๕๐๙/๒๕๔๙ ซึ่งวินิจฉัยว่า การใช้ดุลพินิจของพนักงานอัยการต้องอยู่บนรากฐานและอยู่ในกรอบของความสมเหตุสมผล ถึงแม้ว่าพนักงานอัยการจะมีอิสระในการใช้ดุลพินิจเพื่อใช้ในการชั่งน้ำหนักพยานหลักฐาน กลั่นกรองคดี แต่ย่อมเป็นความมีอิสระที่มีกรอบของความชอบด้วยกฎหมาย และขอบเขตของความสมเหตุสมผล เป็นเหตุผลที่สามารถชี้แจงได้…”
นอกจากนี้ รายงานระบุด้วยว่า แม้อัยการสูงสุดจะอ้างว่าการมอบอำนาจ ให้นาย น. เป็นการมอบอำนาจขาด และได้ทราบเรื่องการสั่งไม่ฟ้องคดีของนาย น. จากการรายงานของสื่อมวลชน แต่อัยการสูงสุดในฐานะผู้มอบอำนาจไม่อาจปฏิเสธความรับผิดชอบต่อความบกพร่องในการกำกับการปฏิบัติหน้าที่ของนาย น. รองอัยการสูงสุดผู้รับมอบอำนาจได้ การอ้างความไม่รู้ไม่เป็นข้อแก้ตัว และไม่น่าเชื่อถือ เหตุเพราะการดำเนินคดีกับผู้ต้องหาอยู่ในความสนใจของประชาชนมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน และมีการร้องขอความเป็นธรรมมาแล้วถึง ๑๔ ครั้ง และในการพิจารณาการร้องขอความเป็นธรรม ครั้งที่ ๑๒ เมื่อวันที่ ๖ มีนาคม ๒๕๖๐ อัยการสูงสุดในขณะนั้นได้เรียกสำนวนคดีร้องขอความเป็นธรรมและสำนวนคดีอาญามาพิจารณาสั่งการด้วยตนเองเพราะเห็นว่าคดีอยู่ในความสนใจของสาธารณชนและการพิจารณาอาจจะมีผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของสังคมที่มีต่อองค์กร โดยมีคำสั่งให้ยุติการร้องขอความเป็นธรรม ในท้ายที่สุด...
8. รองอัยการสูงสุดคนเดียวกันนี้เอง ที่สั่งไม่อุทธรณ์คดีฟอกเงินพานทองแท้
ทั้งๆ ที่ คดีฟอกเงินพานทองแท้ ผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนเห็นควรพิพากษาลงโทษให้จำคุกจำเลย 4 ปี โดยไม่รอลงอาญา และทำความเห็นแย้งไว้ท้ายคำพิพากษาด้วยครั้งนั้น รองโฆษกอัยการก็ชี้แจงว่า อัยการสูงสุด นายวงศ์สกุลกิตติพรหมวงศ์ เพิ่งทราบเรื่องภายหลัง เพราะขณะนั้นเดินทางไปราชการในพื้นที่ภาค 7 โดยนายเนตรนาคสุขรองอัยการสูงสุด รักษาราชการแทน เป็นผู้ลงนามคำสั่งไม่อุทธรณ์คดี
ครั้งนั้น อ้างว่า ให้รายงานข้อเท็จจริง แล้วจะชี้แจงต่อสังคมต่อไป แต่จนบัดนี้ ข้ามปีมาแล้ว ก็ยังไม่มีคำชี้แจงรายละเอียด เหตุผล ข้อเท็จจริง เกี่ยวกับการสั่งไม่อุทธรณ์คดีฟอกเงินของนายพานทองแท้เลย
สังคมยังคาใจจนวันนี้ว่า ทำไมอัยการสูงสุดถึงต้องไปตรวจราชการต่างจังหวัด แล้วคนที่ลงนามแทนจึงต้องเป็นผู้อื่น? ทำไมการพิจารณาคดีสำคัญขนาดนี้ถึงจะไม่ผ่านอัยการสูงสุด ทั้งๆ ที่ คดีในข้อหาสำคัญยังไม่หมดอายุความ?
นอกจากนี้ ในยุคนี้ ยังมีคดีสำคัญที่อยู่ในความสนใจของสังคมอีกหลายคดีที่อัยการสั่งไม่ฟ้อง เช่น คดีธรรมกาย คดีฟอกเงินเจ้าสัวธรรมกาย หรือแม้แต่คดีวิคตอเรียซีเคร็ท ล่าสุด มีการสอบสวนในชั้น ป.ป.ช. มีการให้ข้อมูลเส้นทางการเงิน พบว่าผู้ต้องหาจ่ายเงินให้เจ้าหน้าที่รัฐ ในจำนวนนั้น มีอัยการบางคนได้รับเงิน จากเสี่ย ก.ด้วย
คนในองค์กรอัยการเอง คิดว่าองค์กรเป็นอย่างนี้ เป็นสิ่งที่ถูกต้องดีงามแล้ว จริงๆ หรือ?
ยังจะปกป้อง “ปลาเน่า” กันอยู่หรือ?
9. คณะกรรมการ ก.อ. ปัจจุบัน 15 คน ประกอบด้วย 1.นายอรรถพล ใหญ่สว่าง ประธานกรรมการอัยการ 2.นายวงศ์สกุล กิตติพรหมวงศ์ อัยการสูงสุด รองประธานกรรมการอัยการ 3.นายเนตร นาคสุข รองอัยการสูงสุด กรรมการอัยการ 4.นายสมศักดิ์ ติยะวานิช รองอัยการสูงสุด กรรมการอัยการ 5.นายสาวิตร บุญประสิทธิ์ รองอัยการสูงสุด กรรมการอัยการ 6.นายสุริยะ แบ่งส่วน รองอัยการสูงสุด กรรมการอัยการ 7.ร้อยโท ไชยา เปรมประเสริฐ รองอัยการสูงสุด กรรมการอัยการ 8.นางพิมพร โอวาสิทธิ์ กรรมการอัยการผู้ทรงคุณวุฒิ 9.นายไพรัช วรปาณิ กรรมการอัยการผู้ทรงคุณวุฒิ 10.นายประสาน หัตถกรรม กรรมการอัยการผู้ทรงคุณวุฒิ 11.นายกิตติ ไกรสิงห์ กรรมการอัยการผู้ทรงคุณวุฒิ 12.นายชาตรี สุวรรณิน กรรมการอัยการผู้ทรงคุณวุฒิ 13.นายปรเมศวร์อินทรชุมนุม กรรมการอัยการผู้ทรงคุณวุฒิ 14.นายสิงห์ชัย ทนินซ้อน กรรมการอัยการผู้ทรงคุณวุฒิ 15.นายชาติพงษ์จีระพันธุ กรรมการอัยการผู้ทรงคุณวุฒิ
กรรมการ ก.อ.หลายท่าน เป็นข้าราชการตงฉิน เป็นทนายแผ่นดินมือฉกาจ
ท่านจะมีคำอธิบายชี้แจงอย่างไรว่า เหตุใดจึงแต่งตั้งบุคคลที่เป็นปัญหานั้น ไปดำรงตำแหน่งที่สำคัญมีเกียรติ เป็นหน้าเป็นตาของสถาบันอัยการ? ถูกต้องตามหลักธรรมาภิบาล?
หากจะยืนยันว่าคุณสมบัติ พฤติกรรม และผลงานของบุคคลเหล่านั้น คือ แบบบรรทัดฐานที่ถูกต้องอันสมควรได้รับรางวัลในการปฏิบัติหน้าที่ ก็ควรแถลงชี้แจงโดยสบสายตาประชาชนทั้งแผ่นดิน
ทำไมต้องอุ้มกัน?
ค่าของคน อยู่ที่ผลของงาน หรือค่าของคนอยู่ที่คนของใคร?
สันติสุข มะโรงศรี
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี