แทบจะไม่มีผู้ใดในโลกนี้ที่มิได้รับผลกระทบจากวิกฤติโรคระบาดโควิด-19 และก็คงไม่มีเหตุการณ์ใดในโลกตลอดประวัติศาสตร์ที่จะคุกคามมวลมนุษย์ทุกชนชั้นหมู่เหล่า ทั้งชีวิตประจำวันธรรมดาๆ ทั้งการงาน และรายได้ ได้เท่ากับที่โรคระบาดโควิด-19 กำลังกระทำต่อโลกอยู่ในขณะนี้
โรคระบาดโควิด-19 จึงถือเป็นภยันตรายที่ยิ่งใหญ่เหนือปัญหาอื่นๆ ทั้งมวล ซึ่งได้อุบัติขึ้นมาซ้ำเติมประเด็นปัญหาหลักๆ ที่โลกมีอยู่แล้ว เช่น โลกร้อน ความเหลื่อมล้ำการหักหาญด้วยอุดมการณ์ ทัศนคติและความเชื่อถือ การกดขี่ข่มเหงซึ่งกันและกัน เป็นต้น
ราชอาณาจักรไทย ที่แม้จะตั้งรับได้ดีในช่วงแรกๆ แต่ก็มาเผชิญความน่าสะพรึงกลัวของการแพร่ระบาดในระลอกใหม่ จึงอยู่ในสภาวะที่ไม่แตกต่างไปจากประเทศอื่นๆ ทั่วโลก ซึ่งการแก้ไขให้สังคมไทยรอดพ้นวิกฤติครั้งนี้ไปได้หรือไม่ ก็ต้องขึ้นอยู่กับฝีไม้ลายมือของผู้นำที่จะแก้ไข และหาทางร่วมมือกับมิตรประเทศต่างๆ
อย่างไรก็ดี ไทยเราก็เป็นหนึ่งในไม่กี่สิบประเทศที่มีปัญหาเฉพาะตัว ที่มีเอกลักษณ์แตกต่างออกไปจากประเทศส่วนใหญ่ของโลก นั่นคือ การไร้เสถียรภาพทางการเมือง การขาดซึ่งทิศทางและเป้าหมายของการเป็นตัวตนทางการเมืองอย่างชัดเจน เช่น “ตกลงแล้ว สังคมไทยจะเดินหน้าไปเป็นประชาธิปไตยกันจริงจังหรือไม่?” เป็นต้น
เป็นเวลาหลายสิบปีที่ประเทศไทยใช้โฆษณาประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวด้วยวลี “Amazing Thailand”หรือประเทศอันน่าระทึกน่าตรึงใจ ซึ่งก็เป็นวลีที่สะท้อนความจริงพอสมควร เพราะไทยเรามีความพิเศษในเรื่องการต้อนรับขับสู้ ประเพณีวัฒนธรรม โบราณสถาน และความสวยงามของธรรมชาติแวดล้อม เป็นต้น
แต่ที่มักจะมองข้ามไปก็คือ ความเป็นที่น่าระทึกใจ และน่าฉงนฉงายเกี่ยวกับการเมืองการปกครองของไทย ที่มีเหตุการณ์ มีการผันแปร แปรปรวน อยู่เป็นนิจสิน ไม่ลงตัว ไม่ตั้งตัวเสียที
ฉะนั้น จึงถือเป็นภาระหน้าที่ของปวงชนชาวไทยที่จะต้องช่วยกันนำมาให้ได้ซึ่งเสถียรภาพทางการเมืองในกรอบประชาธิปไตย หรือความเป็นประชาธิปไตยของราชอาณาจักรไทยอย่างแท้จริง นั่นคือ จะต้องสอดคล้องกับความเป็นสากล หรือเป็นราชอาณาจักรที่เดินหน้าไปพร้อมกับความเป็นประชาธิปไตย ซึ่งนับจนบัดนี้ เราได้ใช้เวลาก่อร่างสร้างตัวย่างเข้าปีที่ 89 แล้ว น่าจะสมควรแก่เวลา ที่การสร้างราชอาณาจักรประชาธิปไตยของไทยจะแล้วเสร็จเสียที
แล้วจะเริ่มกันอย่างไร?
คำตอบก็คือ เราต้องเริ่มกันที่การพูดจาหารือกันกับทุกฝ่าย เพื่อที่จะหาข้อยุติร่วมที่รับกันได้ ภายใต้กรอบความเป็นราชอาณาจักร และการมีเป้าหมายเป็นสังคมประชาธิปไตย
ซึ่งก็หวังว่า ฝ่ายรัฐบาลจะเปิดเวทีเจรจาหารือกับฝ่ายที่เห็นต่าง นักวิชาการ รวมทั้งภาคประชาสังคม แทนที่จะมุ่งใช้อำนาจรัฐและอำนาจกฎหมายเล่นงานผู้เห็นต่างอย่างที่เป็นมา
ส่วนฝ่ายผู้เห็นต่างก็ต้องยอมรับว่า การดึงดันเป็นกระต่ายขาเดียว และมุ่งที่จะท้าทาย และเผชิญหน้าอำนาจรัฐเป็นเพียงการสร้างแรงต้านทานให้มากขึ้น เข้มข้นขึ้นเท่านั้น เป็นการกระทำที่ไม่ได้มีประโยชน์อันใดในการที่จะนำสังคมไทยไปสู่ความเป็นประชาธิปไตยดังที่กล่าวอ้าง
โดยเนื้อแท้ของการเมืองนั้นก็คือการอะลุ้มอล่วย ถ้อยทีถ้อยปฏิบัติ (Politics of Compromise) ฉะนั้น หากจะให้เกิดการแพ้ การชนะกันให้ถึงที่สุด ก็คงมีแต่การใช้ความรุนแรงเป็นตัวตัดสิน ซึ่งแม้ว่าฝ่ายหนึ่งยอม “รอมชอม” ก็เป็นเพียงชั่วคราว เพราะประเด็นปัญหานั้นยังคงอยู่ ไม่หายไป นอกจากนั้น ฝ่ายผู้แพ้ก็จะจ้องรอคอยเวลาที่จะฟื้นตัวขึ้นมา เพื่อต่อสู้ต่อไป วนเป็นวัฏจักรอย่างนี้
ไปเรื่อยๆ เท่านั้น
แต่จะหลุดพ้นจากหล่มทางการเมืองได้ ก็ไม่พ้นที่จะต้องหันหน้ามาจับเข่าพูดคุยกันเท่านั้น เพื่อที่จะหาข้อตกลง ข้อสรุป ไปสู่การแก้ไขปัญหากันแบบถาวร
แล้วอะไรที่พอจะเป็นจุดร่วมที่จะเริ่มต้นกันได้?
ผมมีความเห็นว่า ทุกฝ่ายจะต้องตกลงกันก่อนในประเด็นดังต่อไปนี้
1. รักษาความเป็นราชอาณาจักรไว้
2. ราชอาณาจักรต้องเป็นประชาธิปไตยเต็มใบ
3. ปวงชนชาวไทยจะต้องได้รับประโยชน์สูงสุด
4. ปวงชนชาวไทยต้องเข้าถึงซึ่งข้อมูลข่าวสาร ได้ร่วมแสดงความคิด และได้ร่วมตรวจสอบและร่วมตัดสินใจในกิจใดๆ
5. การแจงภาระหน้าที่ของผู้มีอำนาจรัฐให้ชัดเจน
6. คณะรัฐบาลจะตัดสินใจใดๆ ในเรื่องสำคัญๆ ก็ต้องหารือกันที่รัฐสภาด้วย
7. ฝ่ายตุลาการจะต้องถูกตรวจสอบด้วยฝ่ายรัฐสภา และปวงชนชาวไทยก็ตั้งคำถามได้ เป็นต้น
8. การหารืออย่างกว้างขวางในเรื่อง ประเทศไทยจะมีรูปร่างหน้าตาอย่างไรในยุคเทคโนโลยี และยุคหลังโควิด-19 เป็นต้น
ทั้งนี้ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ต้องยอมเปลี่ยนไปเป็นผู้ฟังที่ดีให้มากที่สุด และในขณะเดียวกัน แวดวงวิชาการ สื่อ องค์กรที่มิใช่รัฐ สถาบันธุรกิจเอกชน หน่วยงานวิจัยวางแผนต่างๆ ก็ต้องเร่งออกมาเสนอข้อคิด เพิ่มข้อมูล และสถิติ แล้วให้มีการจัดเวทีประชาธิปไตยอย่างกว้างขวางต่อเนื่อง
ปี 2564 นี้ คนไทยเราทุกคนควรวางอัตตาของตนลงแล้วหันหน้ามาพูดจากัน อภิปรายกันอย่างผู้ที่เจริญแล้ว ใช้เหตุและผล บนข้อเท็จจริง ไม่มีการใช้วาทะเพื่อหักล้างเบี่ยงเบน หรือการให้ร้ายป้ายสีต่อกัน เมื่อนั้น ทุกฝ่ายจะสามารถหาข้อยุติร่วมกัน เพื่อที่จะได้นับหนึ่ง และพาประเทศไทยให้เดินหน้าไปอย่างสง่างามกันเสียที
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี