เมื่อปลายปีที่แล้ว ตัวแทนภาคียาสูบแห่งประเทศไทย เข้าพบ นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง เพื่อติดตามทวงถามเรื่องเงินชดเชยและความคืบหน้าการแก้ปัญหาชาวไร่ยาสูบที่ได้รับผลกระทบจากการขึ้นภาษีบุหรี่และได้เปิดเผยว่ากรมสรรพสามิตและกระทรวงการคลังกำลังเร่งปรับโครงสร้างภาษียาสูบ โดยจะมีความชัดเจนภายในมีนาคม 2564
ผู้สื่อข่าวได้สอบถามความคิดเห็นในประเด็นนี้จากนักวิชาการที่เคยร่วมเสวนาในงานสัมมนาหัวข้อ “มาตรการภาษียาเส้นเพื่อลดการบริโภคยาสูบให้ได้ตามเป้าหมาย” รองศาสตราจารย์ ดร.นงนุช ตันติสันติวงศ์ อดีตหัวหน้ากลุ่มวิจัยสาขาการเงินและการบัญชี มหาวิทยาลัย Nottingham Trent สหราชอาณาจักร ให้ความเห็นว่า “การปรับโครงสร้างภาษีสรรพสามิตสำหรับบุหรี่ต้องให้บรรลุเป้าหมายในการลดจำนวนนักสูบ โดยขจัดโอกาสที่นักสูบจะเปลี่ยนจากบุหรี่ราคาแพงไปสินค้าทดแทนราคาถูก เช่น ยาเส้น เพราะไม่เช่นนั้นแม้รัฐจะเรียกเก็บภาษีในอัตราที่สูงขึ้นก็อาจทำให้จำนวนนักสูบลดลงมากเท่าที่ควร และรายได้ภาษีของรัฐบาลก็ไม่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ การใช้ภาษี 2 อัตรานั้นเป็นการส่งเสริมให้ผู้ประกอบการแข่งขันกันลดราคาเพื่อเสียภาษีในอัตราที่ถูกกว่า ดังนั้น โครงสร้างภาษีบุหรี่สุดท้ายยังไงก็ต้องปรับเป็นอัตราเดียว ซึ่งเป็นไปตามหลักสากลที่แนะนำโดยองค์กรระหว่างประเทศต่างๆ เช่น ธนาคารโลกและองค์การอนามัยโลก เป็นต้น แต่จะไปสู่อัตราเดียวยังไง เมื่อไหร่ กระทรวงการคลังคงต้องพิจารณาหาจุดสมดุลระหว่างกำลังซื้อของผู้บริโภค ราคาของบุหรี่ และราคาสินค้าทดแทนที่มีอันตรายเท่ากันกับบุหรี่”
“การขึ้นภาษีบุหรี่เป็นเรื่องที่ควรทำเมื่อมองในมุมด้านสุขภาพ แต่ในช่วงวิกฤติโควิด-19 การปรับเปลี่ยนอัตราภาษีต้องคำนึงถึงรายได้ของเกษตรกรยาสูบด้วย รวมทั้งพิจารณาใช้ตัวเลขทางเศรษฐกิจ เช่น อัตราเงินเฟ้อเป็นตัวกำหนด อย่างที่เป็นหลักปฏิบัติในสหราชอาณาจักรและประเทศนิวซีแลนด์”
ด้าน รองศาสตราจารย์ ดร.ภัทรกิตติ์ เนตินิยม หัวหน้าภาควิชาการเงิน คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ให้ความเห็นว่า “กรอบในการแก้ไขปัญหาของกรมสรรพสามิตนั้นมาถูกทางแล้ว ทุกปัจจัยมีความเชื่อมโยงกันหมด แต่หากมองจากมุมความยุติธรรมของผู้ประกอบการแล้ว กระทรวงการคลังควรพิจารณาการวางแผนระดับภาระภาษี (TaxIncidence) ที่มีความเหมาะสมกับต้นทุนของผู้ประกอบการบุหรี่ถูกกฎหมายในภาวะที่การเติบโตของยอดขายติดลบ แม้แต่การยาสูบแห่งประเทศไทยก็ต้องเผชิญกับยอดขายที่ลดลงประมาณร้อยละ 30 ขณะที่กำไรลดลงประมาณร้อยละ 95 เพราะระดับภาระภาษีที่สูงจนเกินไป”
“ที่ผ่านมารัฐได้ประโยชน์จากภาษียาสูบในฐานะแหล่งรายได้ แต่ด้วยโครงสร้างภาษีบุหรี่ปัจจุบัน ทำให้ผู้ประกอบการมีรายรับสุทธิต่อซองประมาณ 1 บาท จากเดิมเกือบ 7 บาทซึ่งในระยะปานกลางกำไรระดับนี้การยาสูบฯ น่าจะประสบปัญหาฐานะการเงินในอีกไม่นานนัก และในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ภาระภาษีที่สูงก็ไม่ได้นำมาซึ่งรายได้ภาษีที่เพิ่มขึ้น หรือช่วยให้คนสูบลดลง แต่กลับเป็นการสร้างปัญหาให้กับอุตสาหกรรมยาสูบ ดังนั้น หลักในการพิจารณาโครงสร้างภาษีบุหรี่ง่ายๆ อีกข้อระดับภาระภาษีต้องไม่สูงเกินไป ซึ่งค่าเฉลี่ยภาระภาษีของประเทศอื่นๆ ที่มีลักษณะทางสังคมและโครงสร้างเศรษฐกิจคล้ายๆ กัน อยู่ที่ร้อยละ 54 แต่ปัจจุบันระดับภาระภาษีบุหรี่ในประเทศไทยสูงที่สุดในแถบเอเชีย คือร้อยละ 78.6”
ด้าน รศ.ดร.อรรถกฤต ปัจฉิมนันท์คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้แสดงความเห็นในเรื่องดังกล่าวว่า “มีความจำเป็นต้องขึ้นภาษียาสูบ และย้ำเสมอว่าการขึ้นภาษีควรกระทำโดยคำนึงถึงความเป็นไปได้ทางเศรษฐกิจและการเมือง ดังนั้น ผมจึงเสนอแนะให้มีการปรับโครงสร้างภาษีบุหรี่ 3 ข้อหลัก ได้แก่ 1) การขึ้นภาษีควรทำแบบค่อยเป็นค่อยไป ให้สอดคล้องกับกำลังซื้อของผู้บริโภค 2) การขึ้นภาษีไม่ควรสร้างภาระภาษีที่สูงจนเกินไป เพราะจะกระทบต่อความยั่งยืนด้านรายได้รัฐและต่ออุตสาหกรรมยาสูบ และ 3) การขึ้นภาษีควรกำหนดเป็นแผนและระยะเวลาที่ชัดเจนในการปิดหรือลดช่องว่างภาษีสำหรับยาสูบประเภทต่างๆ โดยสำหรับบุหรี่จำเป็นต้องค่อยๆ ยุบอัตราภาษีมูลค่าให้เหลืออัตราเดียวในที่สุด เพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล และยาเส้นก็ต้องขึ้นภาษีอย่างต่อเนื่องเพื่อลดช่องว่างภาษีให้ได้ในที่สุด”
ก็เป็นความเห็นของนักวิชาการที่กระทรวงการคลังควรรับฟัง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี