“การฟอกเงิน (Money Laundering)” หมายถึงการทำให้เงินที่ได้มาอย่างไม่ชอบด้วยกฎหมาย ตั้งแต่อาชญากรรมประเภทลักวิ่งชิงปล้น การทุจริตคอร์รัปชั่น ไปจนถึงองค์กรอาชญากรรมที่มีรายได้จากประกอบธุรกิจมืด เช่น ค้ายาเสพติด ค้ามนุษย์ ฯลฯ กลายเป็นเงินถูกกฎหมายเพื่อนำไปจับจ่ายใช้สอยทั่วไป ซึ่งหลายกรณีเป็นปัญหาข้ามพรมแดนเพราะผู้กระทำผิดมีเครือข่ายอยู่ในหลายประเทศ การฟอกเงินจึงจัดเป็นความผิดร้ายแรงในระดับสากล
เมื่อเร็วๆ นี้ มีงานสัมมนารับฟังข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะต่อผลการศึกษา เรื่อง “แนวโน้มการฟอกเงินในประเทศไทย : กรณีการฟอกเงินผ่านนิติบุคคลและธุรกิจบังหน้า ทนายความและนักบัญชี บริษัทนำเที่ยวทรัสต์ต่างประเทศที่ดำเนินการในประเทศไทย การเล่นแชร์ที่มีการฉ้อโกง และการฟอกเงินผ่านองค์กรไม่แสวงหากำไร” ซึ่งจัดโดย สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนา
ประเทศไทย (TDRI)
รศ.ดร.นิพนธ์ พัวพงศกร นักวิจัยอาวุโสของ TDRI กล่าวว่า ตั้งแต่ปี 2556-2562 พบคดีที่เกี่ยวกับการฟอกเงินเพิ่มขึ้นเฉลี่ยร้อยละ 19 ต่อปี โดยในปี 2562มีคำสั่งยึดหรืออายัดทรัพย์สินตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน 210 คำสั่ง รวมมูลค่าการยึดหรืออายัดทรัพย์สินจากการกระทำความผิด2,019 ล้านบาท หรือร้อยละ 0.01 ของผลิตภัณฑ์มวลรวม(GDP) ปี 2562 ขณะเดียวกัน การฟอกเงินมีแนวโน้มซับซ้อนและมีรูปแบบที่หลากหลายมากขึ้น เช่น ถ่ายโอนสินทรัพย์ดิจิทัลแทนเงินสด หรือใช้สื่อสังคมออนไลน์ในการฉ้อโกงประชาชน
ซึ่งเทคโนโลยีเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดที่ส่งผลให้เกิดการฟอกเงินมากขึ้นหรือรุนแรงขึ้น มากถึงร้อยละ 40จึงทำให้ยากต่อการป้องกันปราบปรามและยึดทรัพย์ นอกจากนี้ รายงานการประเมินการปฏิบัติตามมาตรฐานสากลด้านการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินและการต่อต้านการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้ายของประเทศไทย ปี 2560 พบว่า ประเทศไทยยังขาดการประเมินความเสี่ยงด้านฟอกเงินของอาชญากรรมแต่ละประเภทที่มีความเสี่ยงสูง และยังไม่มีการกำหนดนโยบายและมาตรการเชิงป้องกันเกี่ยวกับการฟอกเงิน
รศ.ดร.นิพนธ์ กล่าวต่อไปว่า ประเภทของการฟอกเงินที่ได้ทำการสำรวจแบ่งเป็น 7 ประเภท ได้แก่ 1.การฟอกเงินผ่านธุรกิจบังหน้า ธุรกิจบังหน้า ถูกใช้เป็นช่องทางการฟอกเงินในหลายคดี เช่น การทุจริตในภาครัฐ การใช้นอมินีหลีกเลี่ยงภาษี และการฉ้อโกงประชาชน 2.การฟอกเงินผ่านทนายความและนักบัญชียังไม่พบคดีที่เอาผิดกับทนายความ พบเพียงแต่กรณีที่ทนายอาจจะเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้อง เช่น คดีการทุจริตโครงการรับจำนำข้าว
ส่วนการฟอกเงินผ่านนักบัญชี เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องในขั้นตอนการฟอกเงิน layering และ integration โดยทำในรูปแบบช่วยจัดทำบัญชีและงบการเงินของบริษัทบังหน้า และผู้สอบบัญชีช่วยตรวจรับรองงบดุลและจัดทำรายงานผู้สอบบัญชีของบริษัทบังหน้า 3.การฟอกเงินผ่านบริษัทนำเที่ยว บริษัทนำเที่ยวในประเทศไทยส่วนมากไม่ได้ถูกใช้เพื่อขนเงินข้ามประเทศ แต่มักถูกใช้บังหน้าเพื่อวัตถุประสงค์อื่น เช่น คดีบริษัททรานลี่ฯ (ความผิดมูลฐานอั้งยี่)
4.การฟอกเงินผ่านทรัสต์ต่างประเทศที่ดำเนินการในประเทศไทย ซึ่งยังไม่มีกฎหมายกำกับดูแลทรัสต์ จึงไม่มีหน่วยงานกำกับดูแลที่จะดำเนินการตรวจสอบสถานะของผู้บริหารจัดการทรัพย์สิน (ทรัสตี) และไม่สามารถตรวจสอบแหล่งที่มาของเงินและผู้รับผลประโยชน์ที่แท้จริงได้ 5.การฟอกเงินผ่านการเล่นแชร์ที่มีการฉ้อโกง โดยจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทในต่างประเทศและเข้ามาดำเนินกิจการในไทย โดยไม่ได้มีการจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทในประเทศไทย ตัวอย่างคดี บริษัท โอดี แคปปิตอล จำกัด (ความผิดมูลฐานฉ้อโกงประชาชนและอั้งยี่)
6.การฟอกเงินผ่านองค์กรไม่แสวงหากำไร ประเภทกิจกรรมขององค์กรไม่แสวงหากำไรที่มีอาจจะมีความเสี่ยงสูง เช่น องค์กรด้านศาสนา เนื่องจากมีจำนวนมาก และเคยมีคดีเกี่ยวกับการฟอกเงินองค์กรด้านการศึกษา และองค์การเอกชนต่างประเทศ เนื่องจากเป็นองค์กรที่มีรายรับต่อหน่วยงานค่อนข้างสูง และ 7.การฟอกเงินผ่านวัด ซึ่งกลุ่มผู้กระทำความผิดใช้เป็นทางผ่านรับโอนเงิน ให้เจ้าอาวาสเสนอโครงการเพื่อรับเงินสนับสนุนและเบียดบังเงินมาเป็นของตนเองโดยทุจริต ตัวอย่างคดีทุจริตเงินอุดหนุนเพื่อเผยแผ่พระพุทธศาสนา (ความผิดมูลฐานทุจริตในภาครัฐ)
ขณะที่ วสุ ยุวนบุณย์ ผู้จัดการอาวุโส บริษัทไพร์ซวอเตอร์ เฮาส์คูเปอร์ส คอนซัลติ้ง (ประเทศไทย)จํากัด กล่าวว่า อาชญากรรมการฟอกเงินส่วนใหญ่ในปัจจุบันเกิดจากสื่อออนไลน์ (Social Media) โดยประชาชนได้รับภัยคุกคามจากภัยไซเบอร์ มีคนเข้ามาเจาะระบบบัญชีของเราให้โอนเงินไปในช่วงเวลาแค่พริบตาเท่านั้น ซึ่งกฎหมายฟอกเงินในประเทศไทยเมื่อเทียบในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกรวมถึงทางอินเดีย
เห็นได้ว่ากฎหมายไม่ได้ต่างกันแต่วิธีการออกกฎหมายและเขียนกฎหมายของบ้านเราค่อนข้างที่จะมีระบบระเบียบวิธีการที่ซับซ้อนซึ่งค่อนข้างยาก แต่ปัจจุบันใช้เทคโนโลยี AI Machine Learning เข้ามาช่วยซึ่งมันมีอยู่จริงแล้วในองค์กรเอกชนหลายๆ ที่มีการนำเทคโนโลยีเข้ามาปรับใช้ เพราะฉะนั้นเทคโนโลยียังขาดบทวิเคราะห์หรือว่าในตัวงานวิจัย ซึ่งยังไม่ค่อยเห็นชัดเจนในเรื่องของการที่จะมองถึงการใช้เทคโนโลยีเข้ามามีส่วนช่วยในการทำงานต่างๆ
ผศ.ดร.สุพัตรา แผนวิชิต อาจารย์สาขาวิชานิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช กล่าวว่า นอกจากนิติบุคคลจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับความเสี่ยงของการฟอกเงิน อีกสิ่งที่น่ากลัวคือ “เงินดิจิทัล” เนื่องจากไม่มีหน่วยงานกำกับดูแล ไม่ผ่านสถาบันการเงิน และไม่ผ่านระบบการแสดงตัวตน จึงทำให้ไม่สามารถตรวจสอบเส้นทางการเงินที่มันอยู่ในระบบได้ เงินดิจิทัลถูกใช้เป็นช่องทางในการฟอกเงิน
ไม่ว่าจะเป็นการซื้อขายแลกเปลี่ยนสิ่งของผิดกฎหมายในระบบหรือถูกใช้เป็นช่องทางอื่นๆ ที่ที่มันจะมีความยากในการที่จะบังคับใช้กฎหมายซึ่งตนเองไม่เห็นด้วยกับการที่จะแก้กฎหมายวิชาชีพ เนื่องจากเป็นเรื่องยาก และเรื่องจรรยาบรรณทนายและจรรยาบรรณวิชาชีพบัญชีเป็นคนละเรื่องกันขอให้ไปโฟกัสที่กฎหมายของ ปปง. และเลือกที่ปรึกษาการกำกับดูแลเรื่องที่ปรึกษากฎหมาย
ท้ายสุด ณรัช อิ่มสุขศรี รองอธิบดีผู้พิพากษาศาลแพ่ง กล่าวว่า สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) พยายามตามผู้กระทำความผิด แต่ผู้กระทำความผิดก็พัฒนาวิธีทำผิดหลายรูปแบบ จึงจำเป็นต้องตามให้ทัน แต่สุดท้ายแล้วถึงแม้จะมีการตรวจสอบ ควบคุม กำกับ มีการพัฒนากฎหมายอย่างไร แต่ศาลก็เป็นสิ่งที่ตัดสินความผิด ซึ่งจะต้องดูว่าสิ่งที่อัยการส่งฟ้องมานั้น โดยเฉพาะมาตรการทางแพ่งจะยึดทรัพย์ฯหรือไม่ เกี่ยวกับการกระทำความผิดและเข้าข่ายฟอกเงินหรือไม่
เพราะแม้ศาลแพ่งเป็นศาลเดียวที่มีอำนาจในที่จะตัดสินผู้กระทำความผิดเรื่องของการฟอกเงิน แต่จะต้องมีมูลฐานความผิดที่เพียงพอถึงจะตัดสินว่าผิดจริง!!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี