คนไทยจำนวนไม่น้อยกลัวว่ารัฐบาลจะล้วงข้อมูลส่วนบุคคล และกลัวว่าจะถูกรัฐบาลใช้เครื่องมือทางอิเล็กทรอนิกส์ติดตามสะกดรอยทุกย่างก้าวในชีวิตประจำวัน ดังนั้นคนไทยจำนวนไม่น้อยจึงไม่ยอม Download App ไทยชนะ และหมอชนะ
ถามว่าความกลัวดังกล่าวมีเหตุผลเพียงพอหรือไม่คำตอบนี้ก็ขึ้นอยู่กับความไว้เนื้อเชื่อใจของคนไทยที่มีต่อรัฐบาล แต่ก็ต้องตอบตรงๆ เช่นกันว่า หากรัฐบาลจะติดตามความเคลื่อนไหวของใครสักคนหนึ่งในประเทศนี้ รัฐบาลสามารถทำได้หรือไม่ ตอบในเชิงกฎหมายว่าไม่สามารถทำได้ เพราะละเมิดหลักความเป็นส่วนตัว เท่ากับละเมิดสิทธิมนุษยชน แต่หากตอบในเชิงพฤตินัย ก็ต้องบอกว่าทำกันมานานแล้ว ขึ้นอยู่กับว่ารัฐบาลจะเพ่งเล็งใครเป็นพิเศษ แล้วต้องการจะสะกดรอยตามใครเป็นพิเศษหรือไม่ โดยเฉพาะหากคนผู้นั้นตกอยู่ในข่ายที่รัฐบาลระบุว่าเป็นบุคคลอันตรายที่จำเป็นต้องจับตามองทุกการเคลื่อนไหวตลอดเวลา เนื่องจากหากปล่อยไปแล้ว จะก่อให้เกิดผลกระทบร้ายแรงต่อความมั่นคงของรัฐ (และรัฐบาล)
สำหรับกรณีที่ตกเป็นข่าวใหญ่ในสังคมไทยเมื่อสามสี่วันที่ผ่านมา ในเรื่อง App หมอชนะ จนเป็นชนวนให้คนจำพวกผีเจาะรูปาก ยกขบวนพากันประณามหยามเหยียดและด่าทอ นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. อย่างสาดเสียเทเสีย เนื่องจากคุณหมอทวีศิลป์สื่อสารกับสังคมเรื่อง App หมอชนะแล้วถูกคนบางจำพวกนำไปขยายความในเชิงคลาดเคลื่อน แต่สุดท้ายคุณหมอก็ออกมากล่าวขอโทษสังคม และแสดงความเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พร้อมกับกล่าวว่าจะทบทวนการทำงานของตัวเอง โดยที่คุณหมอแสดงอาการเสมือนระทดท้อเล็กน้อยให้ปรากฏ แต่ทว่าคนจำนวนไม่น้อยในสังคมไทยก็พากันให้กำลังใจคุณหมอ และขอร้องให้คุณหมออยู่ในตำแหน่งโฆษก ศบค. ต่อไป
กลับไปที่ประเด็นที่ว่าทำไมคนไทยจำนวนไม่น้อยจึงไม่ไว้ใจรัฐบาล เพราะเกรงกลัวและหวาดวิตกว่ารัฐบาลจะล้วงความลับของตนโดยผ่าน App หมอชนะ และไทยชนะ (แต่คนไทยจำนวนไม่น้อยกลับไม่กลัวข้อมูลส่วนบุคคลของตนเองรั่วในเวลา Download App ต่างๆ นานาสารพัดชนิด ทั้ง App ที่อ้างว่าแจกของฟรี App ภาพลามก และภาพยนตร์ลามก ทั้งๆ ที่หลายApp เป็น mulware แต่ก็เห็นได้ว่าคนไทยจำนวนไม่น้อยตะบี้ตะบันใส่ข้อมูลส่วนตัวลงไปใน App ที่ไม่น่าไว้ใจเหล่านั้น โดยไม่รู้สึกเกรงกลัวว่าข้อมูลของตนจะถูกนำไปใช้ในทางมิชอบ
แต่กับ App หมอชนะ และไทยชนะ กลับมีคำไทยจำนวนหนึ่งกลัวจนไม่กล้า Download เพราะระแวงว่าข้อมูลส่วนตัวของตนเองจะถูกรัฐบาลล้วงไปใช้ และบางคนก็กลัวว่าจะถูกสะกดรอยโดยรัฐบาล เรื่องความหวาดระแวงเช่นนี้เกิดขึ้นเนื่องจากคนไทยจำนวนไม่น้อยไม่ไว้วางใจรัฐบาล ซึ่งรัฐบาลก็ต้องพิจารณาตัวเองด้วยว่าเหตุใดคนไทยจำนวนไม่น้อยจึงไม่ไว้วางใจ
ดังนั้นการที่รัฐบาลจะส่งใครก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นคนระดับรัฐมนตรี (ซึ่งรัฐมนตรีบางรายก็ไม่มีความน่าเชื่อถือแม้แต่น้อย) หรือส่งคุณหมอ (ที่มีความน่าเชื่อถือมากกว่ารัฐมนตรีบางราย) ออกมาบอกมาย้ำว่า App หมอชนะ และไทยชนะ ไม่ได้จงใจล้วงหรือขโมยข้อมูลส่วนบุคคลของประชาชน แต่เป็นสิ่งมีประโยชน์ต่อส่วนรวม และต่อตัวบุคคลที่ Download App นี้ เนื่องจากช่วยเตือนให้ผู้คนที่ Download App นี้แล้ว สามารถรู้สถานการณ์ความเสี่ยงของการติดเชื้อโควิด-19 ได้อย่างมีนัยสำคัญ แต่ที่สำคัญมากกว่านั้นคือ จะช่วยทำให้บุคลากรทางการแพทย์สามารถรู้เส้นทางการเดินทางไปยังจุดต่างๆ ของผู้ติดเชื้อได้อย่างรวดเร็วว่าไปไหนมาไหนบ้าง แล้วไปพบปะใกล้ชิดกับใครมาบ้าง ซึ่งจะช่วยให้การทำงานเพื่อป้องกันและช่วยเหลือผู้ติดเชื้อและกลุ่มเสี่ยงได้อย่างรวดเร็ว
หากเราสังเกตให้ดี เราจะพบว่าหลังจากมีข่าวการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ครั้งล่าสุดที่กำลังอุบัติในประเทศไทย นับตั้งแต่เดือนธันวาคม 2563 คนในสังคมไทยที่มีชีวิตประจำวันอยู่กับ smart phone ต่างพบเห็นว่ามีการสร้าง Application หรือเรียกสั้นๆ ว่า App สารพัดชนิดขึ้นมาเพื่อหวังผลในการช่วยจัดการกับเชื้อโรคโควิด-19 ดังปรากฏชัดๆ เช่น หมอชนะ และ Away Covid-19 ทั้งนี้ยังไม่รวม App ไทยชนะที่เกิดขึ้นมาก่อนหน้านั้นหลายเดือน
การเกิดขึ้นของ App ดังกล่าวนั้น เพราะว่ามีผู้หวังดีต้องการช่วยให้คนไทยรอดพ้นและห่างไกลจากเชื้อโควิด-19และเพื่อให้การช่วยเหลือผู้ติดเชื้อโควิด-19 ให้ได้รับการรักษาพยาบาลที่รวดเร็ว โดยบุคลากรทางการแพทย์ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาเนินนานเพื่อซักถามข้อมูลต่างๆ จากผู้เข้ารับบริการทางการแพทย์
ขอย้ำว่า App หมอชนะเกิดขึ้นจากความร่วมมือทำงานระหว่างภาคเอกชนและภาครัฐ ซึ่งเป็นการระดมมันสมองจากผู้รู้จากหลากหลายสาขาเข้ามาด้วยกัน เพื่อหวังให้คนไทยและสังคมไทยรอดพ้นจากหายนะโควิด-19 ข้อมูลต่างๆ ของบุคคลผู้ Download App หมอชนะ อยู่ในการดูแลและควบคุมโดยกรมควบคุมโรค ส่วนสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) ทำหน้าที่เป็นผู้ประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลที่ได้รับ เพราะฉะนั้น จึงไม่แปลกใจที่คนช่างระแวงบางคนจะกลัวว่ารัฐบาลจะนำข้อมูลส่วนบุคคลไปใช้ประโยชน์ในทางอื่นๆ (ซึ่งก็ต้องบอกว่าไม่จำเป็นต้องระแวงให้เสียเวลาเลย เพราะคนที่รู้ข้อมูลต่างๆ ของผู้ใช้ smart phone มากที่สุดและลึกซึ้งที่สุดคือ operator ผู้ให้บริการระบบโทรศัพท์มือถือหรือ smart phone ที่เกือบทุกคนตะบี้ตะบันใช้กันอย่างไม่บันยะบันยัง บางรายบอกทุกเรื่องทุกราวของตนเองผ่าน smart phone ทุกวินาที ไปถึงไหนก็ต้อง check inทุกที่ และเผยแพร่กิจกรรมต่างๆ ของตนผ่าน social media ทุกชนิดที่ตนเองมี ทีแบบนี้กลับไม่กลัว แต่ดันกลัวรัฐบาลล้วงข้อมูล คิดแล้วน่าสมเพชคนจำพวกนี้เสียนี่กระไร) แต่ก็ต้องบอกและย้ำว่า App หมอชนะ จะบันทึกข้อมูลการเดินทางของผู้ใช้ โดยผ่าน GPS และ Bluetooth เพื่อให้ทราบว่าผู้ใช้ไปไหนมาไหนบ้าง ซึ่งคือการบันทึกข้อมูลการเดินทางของผู้ใช้ในทุกจุดที่เขาผู้นั้นไปได้อย่างแม่นยำ (ตราบเท่าที่สัญญาณอินเตอร์เนตจะเข้าไปถึง)ข้อดีของ App หมอชนะคือช่วยให้เราและบุคลากรทางการแพทย์ตรวจสอบได้ว่าผู้นั้นเข้าไปอยู่ในเขตพื้นที่เสี่ยงการติดเชื้อโควิด-19 ในระยะ 14 วันที่ผ่านมาหรือไม่ หากเข้าไปอยู่ในบริเวณเสี่ยงการติดเชื้อ App หมอชนะจะแจ้งเตือนไปยังบุคคลนั้นๆ ให้ต้องปฏิบัติตนอย่างไร เช่น ให้สังเกตอาการของตน หรือต้องไปพบแพทย์ทันที เป็นต้น นี่คือข้อดีของ App หมอชนะ แต่ส่วนคนที่บ้าคลั่งการ check in ตลอดเวลาอยู่แล้ว ก็ไม่จำเป็นต้อง Download App หมอชนะก็ได้ เพราะถึงอย่างไรก็สามารถตรวจสอบได้อยู่แล้วว่าไปไหนมาไหนบ้าง
ดังนั้น App หมอชนะจึงช่วยให้บุคลากรทางการแพทย์สามารถทำงานได้สะดวก รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพมากขึ้น ในกรณีที่ต้องให้การรักษาผู้ติดเชื้อโควิด-19 ดีกว่าปล่อยให้บุคลากรทางการแพทย์ต้องเสียเวลานานเพื่อซักถามผู้ติดเชื้อโควิด-19 ซึ่งก็อาจจะไม่ได้รับข้อมูลที่เที่ยงตรงชัดเจนอีกด้วย ถ้าหากผู้ป่วยรายนั้นจงใจปกปิดข้อมูลการเดินทาง
กลับไปพูดถึงประเด็นความลับส่วนบุคคล หรือข้อมูลส่วนบุคคลที่บางคนกลัวว่าจะถูกรัฐบาลนำไปใช้โดยไม่ชอบ ก็ต้องบอก ณ ที่นี้ว่า App หมอชนะไม่ได้นำเลขบัตรประจำตัวประชาชนและชื่อ-นามสกุล เข้าไปในคลังข้อมูล และยืนยันว่ามีกรรมการอิสระทำหน้าที่ตรวจสอบการนำข้อมูลไปใช้ โดยไม่ละเมิดสิทธิส่วนบุคคล และจะลบข้อมูลทั้งหมดทันทีเมื่อเวลาผ่านไป 30 วัน
เรื่องนี้ยังคงถูกตั้งคำถามโดยคนที่ไม่ไว้วางใจรัฐบาลอยู่ดังเดิมว่า เชื่อได้หรือ มั่นใจได้หรือว่ารัฐบาลจะไม่นำความลับของประชาชนไปใช้ในทางไม่ชอบ สรุปก็คือ เมื่อคนตั้งแง่ไม่เชื่อใจรัฐบาลเสียแล้ว จะให้รัฐบาลพูดอย่างไร ก็ยากที่ประชาชนที่ไม่ไว้ใจจะเชื่อมั่นในคำพูดของรัฐบาล ประเด็นนี้รัฐบาลก็ต้องทำให้ประชาชนไว้วางใจให้ได้ ส่วนประชาชนก็ต้องระมัดระวังตัวเองตลอดเวลา เพื่อไม่ให้ติดเชื้อโควิด-19 หากประชาชนดูแลตัวเองได้ดี ก็คงไม่จำเป็นต้อง Download App หมอชนะ แต่ถ้าหากเกิดติดเชื้อโควิด-19 ขึ้นมา ก็ต้องรับผิดชอบตัวเอง แต่คำถามคือประชาชนที่ติดเชื้อโควิด-19 มีปัญญารับผิดชอบ ดูแลรักษาตัวเองได้จริงหรือ ก็ต้องฝากไปคิดใคร่ครวญกันอีกครั้ง
ประเด็นสุดท้าย ที่อยากชวนคิดในวันนี้คือ แล้วทำไมจึงมีคนจำนวนหนึ่งพากันด่าว่าคุณหมอทวีศิลป์ ในเรื่อง App หมอชนะ ด่าคุณหมอเพื่อกระแทกไปยังรัฐบาลใช่หรือไม่ เรื่องนี้ต้องถามคนที่ตั้งใจด่าคุณหมอเพื่อกระแทกรัฐบาลว่าทำไมเพื่ออะไร คุณหมอทำอะไรผิดหนักหนาจนทำให้สังคมเดือดร้อนลุกเป็นไฟหรือ แล้วถ้าหากอยากจะด่ารัฐบาล ทำไมไม่ด่ารัฐบาลไปตรงๆ ทำไมต้องใช้การด่ากระแทกผ่านคุณหมอ ส่วนเรื่องที่คำผกา (ขออนุญาตไม่เอ่ยนามสกุล เพราะไม่มีค่าควรเอ่ยถึง แต่จริงๆ แล้วชื่อนี้ก็ไม่มีค่าควรเอ่ยถึงเช่นกัน แต่จำเป็นต้องเอ่ย เพราะมิฉะนั้น ผู้อ่านจะไม่รู้พฤติกรรมของนาง)ออกมาแกว่งปากกล่าวหาว่าร้ายคุณหมอทวีศิลป์ต่างๆ นานานั้น คนที่มีสติปัญญาตั้งคำถามกลับไปยังนางผู้นั้นว่า ทุกวันนี้นางมีคุณค่าต่อสังคมไทยประการใดบ้างนี่คือคำถามสั้นๆ ที่คนจำนวนไม่น้อยแสดงความคิดเห็นเพื่อตั้งคำถามถึงพฤติกรรมอันไม่งามของนางที่แสดงความกักขฬะให้ปรากฏต่อสาธารณชน มีผู้ตั้งคำถามอีกว่า นางทำประโยชน์ใดให้กับสังคมไทยบางหรือไม่ มีบางคนตั้งคำถามด้วยว่า คุณค่าของนางกับของคุณหมอทวีศิลป์เทียบเคียงกันได้หรือไม่ ขอย้ำว่าเขาถามถึงคุณค่า เขาไม่ได้ถามถึงความเป็นคน นะขอรับ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี