เริ่มต้นปีใหม่ ไม่ค่อยราบรื่นนัก
เพราะประเทศไทยต้องร่วมมือร่วมใจกันต่อสู้กับโควิด-19 รอบใหม่
ที่ทำงานของหลายคนได้รับผลกระทบ มากบ้าง-น้อยบ้าง
บางคน เห็นข่าวการแจกโบนัสของคนอื่นเขาแล้ว พาให้อิจฉาตาร้อน นอกจากยินดีไปกับคนที่ได้โบนัสแล้ว ยังเผลอยินร้ายใส่ตัวเอง พาลพาใจห่อเหี่ยว รู้สึกหมดเรี่ยวแรงจะทำงานเอาดื้อๆ เพียงเพราะตัวเราไม่ได้รับโบนัสเหมือนใครอื่นเขา หรือเห็นข่าวคนอื่นได้มากกว่าที่ตนเองได้
วันนี้ จึงขออนุญาตแบ่งปันแง่คิดที่น่าสนใจจากข้อเขียนที่เคยได้รับเมื่อหลายปีก่อน ของ ดร.วิรไท สันติประภพ อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ว่าด้วยเรื่อง “โบนัส ของชั่วคราว”
ให้แง่คิดรับมือกับสถานการณ์ที่อาจไม่ได้รับโบนัสตามที่ตนคาดหวัง
บางตอนว่า
“...อย่าตีโพยตีพาย อย่าโยนความผิดให้องค์กร อย่าโทษผู้บริหาร ต้องเชื่อเสมอว่า การตัดโบนัสน่าจะเป็นทางเลือกสุดท้ายที่บริษัทจะทำ เพราะใจเขาใจเรา คงไม่มีใครอยากทำร้ายใคร คนตัดสินใจก็คงไม่ได้รับโบนัสด้วย การโยนบาป ไม่ใช่ทางออกของปัญหา หนำซ้ำยิ่งทำให้ทุกอย่างเลวร้าย ใจที่มีแต่อคติ ก็ไม่เป็นสุข
เลิกโทษกันและกัน อย่ามองว่าคนอื่นทำงานไม่ดี ฝ่ายขายแย่ การตลาดไม่เก่ง ฝ่ายอื่นๆ ทำงานไม่เข้าท่า เป็นเพราะพวกเขาที่ทำให้องค์กรไปไม่ถึงดวงดาว จึงชวดกันหมด ตัวแปรและปัจจัยสำหรับโบนัสมีมากมาย เกินกว่าที่ใครสักคนจะกำหนด ไม่ใช่ความผิดของเราหรือของใครทั้งนั้น การโทษกันไม่ใช่ทางแก้ กลับยิ่งทำให้ทุกอย่างเลวร้ายไปจากเดิม
ตั้งคำถามเชิงบวก แทนที่จะตีป่วน โวยวาย แต่รู้จักตั้งคำถามเพื่อเตือนให้เราปรับตัว ปรับวิธีการทำงานเสียใหม่ที่ช่วยให้องค์กรมีกำไร มีนโยบายให้โบนัส น่าจะเป็นเรื่องที่ดีกว่า เพราะเป็นการคิดเชิงบวก เป็นการเยียวยาความรู้สึกตัวเอง และสอนให้เราก้าวผ่านวินาทีเสียใจไปได้
ของชั่วคราว พุทธศาสนาสอนไว้ว่าทุกอย่างในโลกล้วนเป็นของชั่วคราว สุขก็ชั่วคราว ทุกข์ก็ชั่วคราว ร่างกายก็ยืมเขามา เมื่อถึงเวลาก็ต้องคืน ทุกอย่างเป็นตามกฎธรรมชาติ มีขึ้น มีลง ไม่มีใครยึด หรือบังคับไว้ได้
โบนัสแท้จริง ก็เป็นของชั่วคราว ไม่ใช่ของเราจริงๆ ทุกๆ อย่างเป็นเรื่องสมมุติ ต้องไม่ยึดติด ไม่คาดหวัง
หยุดกังวล ต้องกล้า คนที่ไม่ได้โบนัส สมองจะสั่งให้เกิดความกังวลไว้ก่อน เพราะเกรงว่าแผนที่วางไว้จะชวด ทั้งที่ จริงๆ แล้ว ลึกๆ เราไม่ได้เสียอะไร เพียงแต่เราไม่ได้ส่วนที่คาด และอาจไม่ได้ทำตามที่ใจปรารถนา
วินาทีนี้ ต้องเปลี่ยนความคิดใหม่ ใช้ความกล้าชนะความกังวล มีเท่าไหร่ก็ใช้เท่านั้น ต้องอยู่อย่างพอเพียงตามพระราชดำริในหลวง
อยู่กับปัจจุบัน อย่านั่งจมกับอดีตที่แก้ไม่ได้ ภาษาคุณฐิตินาถเคยเขียนใน “เข็มทิศชีวิต” น่าสนใจมาก คล้ายๆ กับมีดปักใจ เหมือนหยิบอดีตที่ไม่สมหวัง มาทิ่มแทงใจให้ห่อเหี่ยวแห้งแล้ง ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ไม่มีประโยชน์ใดๆ ที่จะย้ำคิด ย้ำทำ การไม่ได้ก็คือไม่ได้ อย่าซ้ำซาก ไม่ควรให้ผลพวงที่เกิดครั้งเดียวตามมาหลอนไม่มีวันจบ
เลิกสร้างกับดัก ไม่มีใครบอกว่ามาตรฐานในชีวิต ต้องมีโบนัสทุกปีลด เลิก หรือตัดไม่ได้ มนุษย์นี่แหละครับที่ตั้งธงกันเองว่าต้องได้เงินเท่านั้นเท่านี้ เอาเข้าจริง ดัชนีความสุขก็มิใช่วัดกันที่ตัวเลข มีเงินเป็นหมื่นล้าน พันล้าน ก็ทุกข์ได้ ตัวอย่างมีให้เห็น หากหยุดสร้างกับดักเมื่อไร ใจก็เป็นสุขเมื่อนั้น
มีคนแย่ยิ่งกว่า ความเศร้า ความเสียใจ อาจทำให้เราต้องหารายการประเภทวงเวียนชีวิตมาดู และจะทำให้เข้าใจว่าบนโลกกลมๆใบนี้ มีคนไม่น้อยที่แย่ยิ่งกว่า แต่ทุกคนก็ต้องต่อสู้ ดิ้นรน ไม่เคยสะกดคำว่า “แพ้” ให้ใครเห็นนับประสาอะไรกับเรา การพลาดโบนัสเป็นแค่เรื่องจิ๊บจ๊อย ชีวิตอาจสะดุดไปบ้าง แต่ก็ไม่ถึงกับทำให้เราต้องตายหรือหมดอาลัยตายอยาก
การประชดคือเรื่องผิด หากเงินก้อนที่อยากได้ ไม่ได้ขึ้นมาก็อย่าประชดโดยการช็อป ทุ่มซื้อของ หรือทำอะไรก็แล้วแต่ แบบสุดโต่ง ที่เป็นการเบียดบังตัวเอง เพื่อลืมความทุกข์
เพราะยิ่งทำ ก็ยิ่งเป็นการทำร้ายกระเป๋าสตางค์ตัวเองยิ่งฟุ่มเฟือย ก็ยิ่งเร่งปฏิกิริยา และอาจทำให้ชีวิตรวน แย่เข้าไปอีก
วางแผนค่าใช้จ่ายใหม่ เมื่อตั้งสติได้ ต้องรีบวางแผนค่าใช้จ่ายใหม่ แผนทุกอย่างที่ต้องพึ่งพิงโบนัสต้องปรับ ชีวิตอย่าสะดุดโดยเฉพาะถ้าการใช้จ่ายเรื่องนั้นๆ เป็นเรื่องจำเป็น
ผมเชื่อว่า คนที่คิดคอนเซ็ปต์โบนัสครั้งแรก คงมีเจตนาดีๆ เพื่อสร้างแรงจูงใจในการทำงาน
แต่เป็นเพราะเราๆ นี่แหละครับที่ดันสร้างกรอบลวงตา ไปหลงและยึดติด จนรากเหง้าวิธีคิดกลับตาลปัตร กลับกลายเป็นว่าคนที่ได้มาน้อย หรือไม่ได้เลย เสียขวัญ กำลังใจ ไม่รักองค์กร
ฉะนั้น การเตรียมจิตใจ และปรับทัศนคติเสียใหม่ คือการฉีดภูมิคุ้มกันแบบหนึ่ง เพื่อให้เราแข็งแกร่ง และก้าวผ่านไปได้ อย่าลืมนะครับ ชีวิตที่เหลือ ยังต้องพบเจอกับความผิดหวังมากกว่านี้หลายร้อยพันเท่า
ตราบที่ยังตื่นลืมตา หัวใจต้องอย่าพ่ายแพ้เป็นอันขาด…”
ข้างต้นคือแง่คิดจาก ดร.วิรไท เขียนไว้เมื่อหลายปีก่อน แต่ยังใช้ได้ดีในปัจจุบัน
ในสถานการณ์ที่ลำบากกันทั่วโลก โดยเฉพาะในต่างประเทศสถานการณ์สาหัสกว่าในบ้านเรานัก บริษัทใหญ่ๆ เลิกจ้างกันอุตลุด แม้แต่บริษัทที่ดูเหมือนจะมีความมั่นคงมั่งคั่งมากๆ หลายบริษัทก็ต้องลดการจ้างงาน
คิดเสียว่า “มีงานทำต่อไป คือโบนัส”
แน่นอน เราสามารถย้ายงานได้โดยไม่ต้องรู้สึกผิด ถ้าคิดว่าเรามีความสามารถมากกว่าที่ปัจจุบัน ยังมีที่อื่นที่เหมาะกับเรามากกว่า ให้ผลตอบแทนคุ้มค่ากว่า ชีวิตการงานก้าวหน้ากว่าไม่ต้องไปโกรธเคืองหรือรู้สึกติดค้างใดๆ
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์เศรษฐกิจภาพรวมหลังจากนี้ เชื่อว่า น่าจะค่อยๆ กระเตื้องขึ้นเรื่อยๆ ตามสภาวะเศรษฐกิจโลกที่มีข่าวดีจากวัคซีน ซึ่งจะเริ่มเห็นผลเต็มที่คงราวๆ กลางปี 2564 เป็นต้นไป
สู้ๆ ต้องสู้จึงจะชนะ
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี