ต้องยอมรับทันควันก่อนว่า การแพร่ระบาดของ“โรคติดเชื้อไวรัสโโควิด-19” ในระลอกใหม่กลายเป็นความหวาดหวั่นตื่นตระหนกตกใจของสังคมไทยกว่าการแพร่ระบาดครั้งแรกเมื่อปลายปี 2562 ซึ่งเป็นโรคอุบัติใหม่ที่สังคมไทยเพิ่งรู้จัก แต่เพิ่งรู้จัก “สาธารณสุข” ไทยก็สามารถจำกัดการสูญเสียได้อย่างไม่ยากเย็นนัก
มาการแพร่ระบาดรอบใหม่ สังคมไทยยังอ่อนล้ากับผลกระทบจากความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการแพร่ระบาดครั้งแรก รัฐบาลไทยตัดสินใจเลือกรักษาบุคคลมากกว่าเศรษฐกิจประเทศ จึงเกิดนโยบายล็อกดาวน์ปิดประเทศเพื่อลดการแพร่ระบาด และสามารถทำได้สำเร็จ หลังระดมสรรพกำลังจนเกิดเป็นความสามัคคีความร่วมมือของทีมไทยแลนด์
ทหารแก่พยายามที่จะบอกสังคมไทยว่าทุกคนจะก้าวข้ามไปด้วยกัน ไม่ทิ้งใครไว้ ต้องยอม “เจ็บแล้วจบ” แต่ที่สุดการรบกับ “โรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19”ครั้งแรกเมื่อมันเกิดอาการเรื้อรัง ทำให้เศรษฐกิจประเทศวิกฤติหายนะ
แต่การเกิดการแพร่ระบาดระลอกใหม่นี้เกิดจากความเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว เกิดความมักง่ายไร้สำนึกความรับผิดชอบของสังคมบางส่วน เลยทำให้สังคมไทยหวาดกลัวว่าจะ “เจ็บ” อีกครั้งหรือไม่ และจะสู้ไหวหรือเปล่าเพราะครั้งที่แล้วอาการบาดเจ็บนั้นเรื้อรัง
เราเคยนำเสนอหลายครั้งว่ารัฐบาลทหารแก่ต้องจัดระเบียบสังคมใหม่ จากระบาดครั้งที่แล้วศูนย์กลางการแพร่ระบาดก็จากกรุงเทพมหานครก่อนแพร่กระจายไปทุกภูมิภาคของประเทศ ครั้งนั้นมีเซียนมวยเป็นพาหะชั้นดี มาครั้งนี้มีบ่อนการพนันที่สีกากีมองไม่เห็นเป็นหนึ่งในพาหะ
ความแออัดในเมืองทำให้เกิดการสัมผัสเสี่ยงต่อการติดเชื้อ จากสถิติการพบผู้ป่วยก็บ่งบอกชัดเจน หากทหารแก่จะตระหนักถึงคำว่า “มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน” ก็ควรเร่งดำเนินการให้เกิดการสร้างงานในชนบทให้เกิดการอพยพกลับถิ่นฐานเพื่อลดความแออัด โครงการโรงไฟฟ้าชุมชนจึงน่าสนองตอบในหลายประเด็น จำได้ว่าโครงการนี้ทหารแก่เคยสนับสนุน แต่มีผู้ไม่หวังดีพยายามดึงเรื่องและชะลอการลงทุนโครงการนี้ เราอยากให้รัฐบาลทหารแก่ดำเนินโครงการที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศเกิดการจ้างงานสร้างรายได้ให้แก่ชุมชนในส่วนภูมิภาคอย่างจริงจัง
ถ้ารัฐสนับสนุนให้เกษตรกรท้องถิ่นปลูกพืชเกษตรที่เป็นวงจรการผลิตกระแสไฟทดแทนการปลูกพืชเศรษฐกิจอื่นๆ ที่ตลาดเป็นผู้กำหนดราคา จักสามารถสร้างรายได้ที่มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน แก่เกษตรกรท้องถิ่น โดยมีโรงงานไฟฟ้าชุมชนเป็นแหล่งรับซื้อผลผลิต เกษตรกรท้องถิ่นก็ไม่จำเป็นต้องทิ้งถิ่นฐานเข้ามาหางานทำในกทม.จนเกิดความแออัด และเมื่อเกิดโรคระบาดในอนาคตก็สามารถควบคุมการเคลื่อนย้ายได้อย่างไม่ยากเย็น
ธุรกิจด้านพลังงาน โดยเฉพาะพลังงานสะอาดและพลังงานทดแทน ยังคงเป็นกระแสโลกที่มีความต้องการมากขึ้น คาดว่าอีก 20 ปี ข้างหน้าการใช้ “พลังงานฟอสซิล”จะหมดไป และมีแนวโน้มว่าความต้องการใช้ไฟฟ้าจะเติบโต มีความจำเป็นในการใช้พลังงานไฟฟ้า ทำให้ต้องมีการเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้า
เราเชื่อว่าการสนับสนุนให้เกษตรกรท้องถิ่นกลับไปปลูกพืชเกษตร อาทิ ต้นไผ่ ที่เป็นวัตถุดิบให้โรงงานไฟฟ้าใช้ในการผลิตกระแสไฟฟ้า จักสามารถลดความแออัดในชุมชนเมือง ลดความเสี่ยงของการแพร่ระบาดของโรคอุบัติใหม่ สอดคล้องกับปรัชาญาเศรษฐกิจพอเพียงที่พ่อหลวงพระราชทานเป็นมรดกคนไทยให้สามารถผลักดันเศรษฐกิจไทยเป็นเสือตัวใหม่ของโลกได้ด้วย
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี