นอกเหนือจากข้อมูลรายชื่อจังหวัดที่พบผู้ติดเชื้อและจำนวนผู้ป่วยโควิด-19 รายวันที่ประชาชนให้ความสนใจติดตามอย่างใกล้ชิดแล้ว การสื่อสารข้อมูลจากภาครัฐก็เป็นอีกหนึ่งประเด็นที่สังคมกำลังพูดถึงเป็นอย่างมาก หลังจากที่เกิดอาการ “พูดคนละภาษา” สร้างศัพท์ใหม่ สื่อสารไปคนละทาง ให้ข้อมูลสับสนผิดพลาด จนส่งผลกระทบกับความน่าเชื่อถือและความเป็นมืออาชีพของรัฐบาล
เริ่มต้นด้วยการ สร้างนิยามใหม่ โดยโฆษกศูนย์ บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. ที่ออกมาชี้แจงว่าการเพิ่มขึ้นของการติดเชื้อรายใหม่ในประเทศเป็นจำนวนมากในช่วงปลายเดือนธันวาคม ไม่ใช่การติดเชื้อระลอกสอง หรือ secondwave แต่เรียกว่าเป็น “การระบาดใหม่” จนกลายเป็นประเด็นให้วิจารณ์กันสนุกสนานในโลกออนไลน์พร้อมข้อสงสัยว่ารัฐบาลกำลังพยายามเลี่ยงบาลี เพื่อลดความหวาดกลัวของประชาชนอยู่หรือไม่
ตามมาด้วยเรื่อง ไม่ล็อกดาวน์ แต่บัญญัติศัพท์ใหม่ว่าเป็นการ “ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด” โดยให้เหตุผลว่าไม่อยากให้ประชาชนและภาคธุรกิจในพื้นที่ต้องได้รับผลกระทบ อย่างไรก็ตาม เมื่อดูรายละเอียดการควบคุมสูงสุดและเข้มงวดของแต่ละพื้นที่แล้วจะเห็นว่ายังสะดวกสบายมากกว่าการล็อกดาวน์ เพราะไม่มีการเคอร์ฟิว การเดินทางออกนอกเคหสถานและการขนส่งยังทำได้ และยังสามารถรับประทานอาหารที่ร้านได้ แต่การที่รัฐบาลออกมายอมรับว่าไม่ประกาศล็อกดาวน์ จะได้ไม่ต้องมีแผนการเยียวยารองรับ ซึ่งจะสร้างภาระให้กับเงินภาษีของคนทั้งประเทศ ก็เป็นบั่นทอนภาพลักษณ์ของรัฐบาลในการบริหารจัดการกับความทุกข์ยากเดือดร้อนของคนในประเทศ
นอกจากนี้ ยังมีประเด็นความสับสนในการออกคำสั่งที่แต่ละหน่วยงานออกมา “หักลำ” กันไปมา ทำให้ประชาชนหวาดวิตก ทำตัวไม่ถูก เพราะข่าวสารที่ออกมาจากภาครัฐมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
เริ่มจากคณะกรรมการโรคติดต่อ กทม. ออกประกาศให้ร้านอาหารงดให้บริการตั้งแต่เวลา 19.00-06.00 น. แต่ต่อมานายกรัฐมนตรีสั่งให้ยกเลิกประกาศดังกล่าว โดยเปลี่ยนให้นั่งรับประทานอาหารในร้านได้ถึง 21.00 น.
ประเด็นล่าสุดเรื่องการดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่น “หมอชนะ”ที่โฆษก ศบค. แถลงว่า หากประชาชนที่ติดเชื้อโควิด-19 แล้วพบว่าไม่มีการโหลดแอพพลิเคชั่น “หมอชนะ” ถือว่ามีความผิดต้องรับโทษจำคุก 2 ปี และปรับ 40,000 บาท แต่เพียงไม่กี่ชั่วโมงถัดมา นายกรัฐมนตรีต้องแก้ข่าว ชี้แจงเพิ่มเติมว่าเป็นเพียงการขอความร่วมมือ เพื่อให้สามารถติดตามไทม์ไลน์ของผู้ป่วยได้แม่นยำขึ้น หลายคนที่กังวลเรื่องการเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวหรือไม่สะดวกในการใช้แอพพลิเคชั่นก็สามารถใช้การบันทึกหรือแจ้งข้อมูลการเดินทางให้กับเจ้าหน้าที่แทนได้
จะเห็นว่าการสื่อสารในสถานการณ์วิกฤตินั้นเป็นเรื่องที่สำคัญมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่ประเทศกำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ยิ่งจำเป็นที่รัฐบาลต้องสามารถสื่อสารได้อย่างมีเอกภาพ ชัดเจน เพื่อไม่ทำให้ประชาชนเกิดความตื่นตระหนกและสามารถปฏิบัติตัวได้ถูกต้องข้อความที่สื่อสารออกมาควรต้องแสดงถึงความรับผิดชอบและห่วงใย แทนที่จะขู่ให้กลัว หรือเล่นคำเพื่อให้ความหมายเปลี่ยนไป
รัฐบาลเคยจัดการกับปัญหาโควิด-19 ได้เป็นอย่างดีเมื่อครั้งการระบาดเมื่อต้นปี แต่ครั้งนี้คงมีแรงกดดันจากการติดเชื้อรายวันที่สูงขึ้นมาก ภาวะเศรษฐกิจที่ยังคงทรุดตัว รวมทั้งต้องหาทางจัดการกับปัญหาเจ้าหน้าที่รัฐที่บกพร่องปล่อยให้มีการลักลอบแอบเปิดบ่อนพนันและแรงงานข้ามแดนโดยผิดกฎหมาย
เป็นกำลังใจให้ทุกหน่วยงาน “ตั้งหลัก” ได้โดยเร็วไวเพราะประเทศจะผ่านวิกฤติโควิด-19 รอบที่สองนี้ไปได้หรือไม่ ก็อยู่ที่ผู้บริหารประเทศที่จะต้องนำทีมทั้งในการบริหารจัดการสถานการณ์และการสื่อสาร เพื่อให้ประชาชนเกิดการยอมรับและให้ร่วมมือกันป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 อย่างได้ผลด้วย
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี