ตั้งแต่ก่อนการแพร่ระบาดของโคขวิดได้มีการประชุมบริษัทยักษ์ใหญ่ของสหรัฐซึ่งเป็นเจ้าของสิทธิบัตรไวรัสโคโรนา 2019 และเป็นผู้จดทะเบียนสิทธิบัตรวัคซีนสำหรับรักษาโคขวิด ดังนั้น จึงไม่มีข้อโต้เถียงกันอีกแล้วว่าโคขวิดเป็นของใคร และใครเป็นผู้ริเริ่มเรื่องนี้
มีการประชุมวางแผนผู้รับผิดชอบของบริษัทนี้ทั่วโลกครั้งนั้นมีการแจ้งว่าไวรัสที่จะระบาดครั้งนี้ร้ายแรง ชาวโลกจะป่วยถึง 650 ล้านคน และเสียชีวิตถึง 250 ล้านคน ให้ทุกคนเตรียมการขายวัคซีน
หลังจากนั้นประมาณ 2 เดือนเศษก็เกิดเหตุโคขวิดระบาดที่เมืองอู่ฮั่นแล้วโยนความผิดให้กับประเทศจีน ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ก็พบการเกิดเหตุระบาดมาแล้วที่ฝรั่งเศส ซึ่งทางจีนตรวจสอบแล้วก็พบว่าเป็นไวรัสที่เกิดจากการตัดต่อพันธุกรรมของไวรัสโรคซาร์สและโรค HIV จึงรู้ว่ากำลังถูกกระทำด้วยสงครามชีวภาพ
ศูนย์การนำพรรคคอมมิวนิสต์จีนจึงประกาศระดมทั้งประเทศเข้าสู่สงครามชีวภาพ โดยประธานสี จิ้น ผิง นำการบัญชาการด้วยตนเอง และระดมสรรพกำลังทั้งในด้านการป้องกันและด้านการรักษา ต่อมาด้วยการสนับสนุนจากประเทศไทยจึงได้รับต้นแบบตัวยาซึ่งสามารถใช้รักษาโคขวิดได้และได้ใช้เป็นยาสำคัญด้วย
ส่วนเมืองไทยได้มีการนำยานี้มาใช้รักษาผู้ป่วยหายเป็นรายแรกของโลกและได้รับการรับรองให้ใช้เป็นทางการตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข ลงวันที่ 29 มีนาคม 2563แต่ต่อมาประกาศดังกล่าวก็ถูกยกเลิกโดยประกาศวันที่ 1 พฤษภาคม 2563 ซึ่งนำยารักษาโรคปอดบวมตามที่สหรัฐได้ริเริ่มนำมาใช้แทน ซึ่งทำให้หายช้า ทำให้ป่วยมาก ป่วยหนักได้รับความทุกข์ทรมานมากและเสี่ยงชีวิตมาก
สำหรับด้านวัคซีนนั้นผู้เป็นเจ้าของเดิมประสบความล้มเหลวเพราะวัคซีนที่ผลิตและเตรียมขายแก่ชาวโลก 7,000 ล้านคน ในลอตแรกไม่สามารถป้องกันโคขวิดได้เนื่องจากการกลายพันธุ์อันเป็นคุณสมบัติของเชื้อ HIV แม้ปรับปรุงครั้งที่สองก็ล้มเหลวอีก มาในครั้งที่สามจึงกระจายการผลิตโดยร่วมมือกับเยอรมนีและอังกฤษ
หลักการของวัคซีนดังกล่าวได้ใช้เชื้อเป็นมาเพาะเพื่อให้เกิดภูมิต้านทาน และเกิดผลข้างเคียงมาก ที่สำคัญจะทันกับการกลายพันธุ์ของไวรัสหรือไม่ เพราะต้นแบบคือสายพันธุ์ HIV นั้น 20 กว่าปีมาแล้วก็ไม่สามารถคิดค้นวัคซีนป้องกันได้เพราะกลายพันธุ์ และยังมีผลข้างเคียงอีกมาก
จึงส่อว่าวัคซีนจากทั้งสามแหล่งนี้จะป้องกันโคขวิดได้จริงหรือ และถ้าไม่ได้หรือชาวโลกไม่วางใจ การที่ประเทศไทยไปทำข้อตกลงจองซื้อไว้ถึง 65 ล้านโดส แล้วจะทำกันอย่างไร
ส่วนทางจีน รัสเซีย และอิหร่านนั้นได้มุ่งเน้นจัดการเรื่องการแพร่ระบาดของโคขวิดโดยถือเอาการรักษาเป็นหลัก โดยระดมเอายาแผนโบราณ สมุนไพร และพืชพันธุ์ต่างๆ ที่พบว่าป้องกันรักษาโคขวิดได้เอามาใช้อย่างเอิกเกริก และแจ้งให้ประชาชนได้รับทราบว่าต้องใช้ยาอะไรหรือต้องดื่มกินอะไรบ้างจึงจะมีผลเป็นการป้องกันรักษา นับเป็นการระดมพลังแห่งชาติครั้งใหญ่ที่สุด
ส่วนทางด้านวัคซีนก็ได้มีการค้นคว้าโดยถือสมุฏฐานจากการตัดต่อพันธุกรรม ในที่สุดก็พบว่าเพื่อไม่ให้เกิดผลข้างเคียงที่อาจรุนแรงถึงแก่ชีวิต จะต้องนำเชื้อโคขวิดที่ตายแล้วมาปรับปรุงและเพาะเชื้อเพื่อให้มีผลเป็นการต้านทาน ซึ่งขณะนี้ก็ได้ผลิตขึ้นใช้ทั้งภายในประเทศและส่งออกไปยังมิตรประเทศอย่างกว้างขวาง
ขณะนี้กำลังเกิดสงครามวัคซีนระหว่างตะวันตกกับตะวันออก โดยที่ฝ่ายตะวันตกค่อนข้างจะได้เปรียบกว่าเพราะครองอำนาจเครือข่ายสื่อมวลชน และมาตรฐานต่างๆ ที่รับรองเฉพาะวัคซีนตะวันตก และต่อต้านวัคซีนของตะวันออก
สำหรับผู้บริโภคหรือประชาชนโดยทั่วไปจึงต้องตั้งสติยั้งคิดไตร่ตรองในเรื่องนี้ให้จงดี จะได้ไม่หลงกระแสที่เขาปลุกปั่นเสกสร้างกันอยู่
ในวันนี้ความจริงเริ่มประจักษ์ว่าไวรัสฝ่ายตะวันตกมีผลข้างเคียงมาก และมีผู้เสียชีวิตแล้วจำนวนมาก
ความจริงยังปรากฏต่อไปว่ามีการจัดตั้งเว็บไซต์เถื่อนขึ้นในอิตาลี ปั้นตัวเลขผู้ป่วยด้วยโคขวิดของประเทศต่างๆ ทั่วโลก แล้วออกรายงานผู้ป่วยสะสม ผู้ป่วยเพิ่มในแต่ละวัน รวมทั้งผู้เสียชีวิตสะสม รวมทั้งผู้เสียชีวิต
ในแต่ละวันด้วย
และขบวนการวัคซีนลวงโลกก็นำรายงานดังกล่าวมาเผยแพร่กันปลุกกระแสให้ตกใจกันทั่วทั้งโลก รวมทั้งประเทศไทยของเราด้วย
ต่อมาจึงมีการพบว่าที่ตั้งสำนักงานเจ้าของเว็บไซต์เถื่อนดังกล่าวเป็นห้องแถวเล็กๆ ทุกอย่างปลุกเสกยกเมฆเองทั้งสิ้น นี่คือต้นตอสำคัญที่ทำให้เกิดความตกใจทั่วโลก และอาจจะมีความเกี่ยวข้องเครือข่ายขบวนการวัคซีนโลกก็ได้ ความเสียหายจากการสร้างกระแสให้ตกใจจนเกินจริงนับเป็นความเสียหายใหญ่หลวงของโลก
ประเทศไทยมีผู้เสียชีวิตเพราะเหตุเป็นโรคปอดอักเสบติดเชื้อต่างๆ และวัณโรคถึงปีละ 60,000 คน แต่ก็ไม่ได้มีการปลุกกระแสเป็นกระต่ายตื่นตูมแต่อย่างใด เหตุนี้จึงไม่ได้เกิดความตระหนกตกใจกลัวและเกิดความเสียหาย
สำหรับการแพร่ระบาดของโคขวิด 1 ปีมาแล้ว ประเทศไทยมีผู้ป่วยสะสมแค่ระดับ 10,000 คน มีผู้เสียชีวิต60 คน และในขณะนี้มีผู้ป่วยอยู่ระหว่างการรักษาแค่ 3,000 กว่าคน
เทียบกันไม่ได้กับการป่วยและการเสียชีวิตด้วยโรควัณโรคและโรคปอดอักเสบ แต่ประเทศไทยต้องเสียหายย่อยยับก็เกิดจากภาวะกระต่ายตื่นตูมที่ตื่นตระหนกตกใจจากการเสกสรรปั้นแต่งข้อมูลอันเป็นเท็จเพื่อลวงโลก โดยมุ่งหวังจะขายวัคซีน
และสบโอกาสให้พวกโกงบ้านกินเมืองใช้เป็นช่องทางโกงชาติ ฉ้อราษฎร์บังหลวงครั้งใหญ่ที่สุด เหตุนี้ความเสียหายใหญ่หลวงจึงบังเกิดขึ้นแก่ประเทศไทย แก่ภาคธุรกิจและคนไทยโดยถ้วนหน้า
ดังนั้นจึงถึงเวลาที่คนไทยจะตื่นตัวเปิดใจให้กว้างอย่าให้ใครจูงจมูกจนตกอยู่ในสภาพเช่นนี้อีก อย่างน้อยก็ลืมตาดูประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียนของเราบ้างก็ได้ว่ามีประเทศใดถูกหลอกให้เอาข้อมูลจากเว็บไซต์เถื่อนมาปั่นกระแสแบบเมืองไทยบ้าง
และมีประเทศไทยเพื่อนบ้านใดที่ต้องประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินกันทั้งปีทั้งชาติเพียงแค่การอ้างการระบาดของโคขวิดเหมือนบ้านเราบ้าง
ที่สำคัญ ให้ชำเลืองมองดูว่ามีประเทศเพื่อนบ้านอาเซียนประเทศใดบ้างที่ต้องกู้หนี้ยืมสินใช้จ่ายเงินมากมายมหาศาล จนประเทศชาติเป็นหนี้สินจำนวนมากดังที่เกิดขึ้นกับประเทศไทยบ้าง
แม้กระทั่งเรื่องวัคซีน ประเทศอาเซียนต่างๆ เขาก็ใช้ความระมัดระวังและจัดซื้อจัดหามาเท่าที่จำเป็นเพื่อทดลองใช้เท่านั้น ในขณะที่บางประเทศไม่ให้ความสนใจเลย
เรื่องเหล่านี้ไม่ใช่ความลับ ไม่ใช่เรื่องซับซ้อนอะไรที่จะแสวงหาข้อเท็จจริงไม่ได้ ดังนั้นจึงต้องเปิดจิตเผื่อใจจึงจะเป็นจุดเริ่มต้นของการฟื้นฟูประเทศไทยให้รอดพ้นจากหายนะใหญ่ในครั้งนี้
ควรจะได้ทำการตรวจสอบว่าใครเป็นผู้ริเริ่มให้นำข้อมูลจากเว็บไซต์เถื่อนในอิตาลีมาเป็นหลักในการแจ้งข้อมูลประชาชน
ควรจะรีบยกเลิกการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินเพื่อทำให้การบริหารราชการแผ่นดินกลับคืนสู่ภาวะปกติโดยเร็วที่สุด และใช้กฎหมายที่มีอยู่ให้มีประสิทธิภาพ
ควรจะเร่งประกาศชื่อยาทั้งแผนไทย แผนปัจจุบันที่สามารถป้องกันและรักษาโคขวิดให้ได้ให้ประชาชนทราบโดยทั่วกัน พร้อมทั้งสถานที่ที่จะจัดซื้อและวิธีการใช้ยาเหล่านั้น
ประเทศไทยเสียหายมากที่สุดในประวัติศาสตร์แล้ว เรื่องนี้ควรจะพอกันได้แล้ว
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี