เศรษฐกิจไทยทรุดอย่างรุนแรงแสนสาหัสในยุคที่เชื้อโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่ 2019 หรือโควิด-19แพร่ระบาดระลอกล่าสุดนี้ หากถามว่ารุนแรงมากเพียงใดก็ตอบตรงประเด็นว่า แรงถึงขนาดที่ทำให้เศรษฐกิจไทยหลาย sector พังทลายได้ สายการบิน การท่องเที่ยว และการบริการในกลุ่มการท่องเที่ยว รถทัวร์ โรงแรม คอนโดมิเนียม ภัตตาคารร้านอาหาร เป็นต้น
ความจริงเชิงประจักษ์ที่ทุกคนทราบดีคือ ในปี 2563 นั้น ผลจากการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 สร้างผลกระทบด้านลบอย่างรุนแรงไปทั่วโลกในทุกภาคส่วน โดยเฉพาะผลกระทบที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดที่เกิดกับธุรกิจทุกชนิดที่ต้องพึ่งพาอาศัยรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างประเทศ ซึ่งประเทศไทยก็นับเป็นหนึ่งในกลุ่มผู้ประสบปัญหานี้ เพราะไทยพึ่งพารายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติในอัตราที่สูงอย่างน่าเป็นห่วงมาอย่างต่อเนื่องกันยาวนานกว่า 20 ปี ดังนั้น เมื่อนักท่องเที่ยวต่างชาติไม่สามารถเดินทางเข้ามาในประเทศไทยได้ ก็หมายความว่ารายได้ก้อนมหาศาลได้อันตรธานไปโดยฉับพลัน
แต่ครั้นจะพึ่งพารายได้จากการท่องเที่ยวภายในประเทศโดยคนไทย ก็เป็นเรื่องยากลำบากอีก เพราะกำลังซื้อของคนไทยส่วนใหญ่อยู่ในระดับค่อนข้างต่ำมาก แต่ถึงกระนั้นภาคธุรกิจส่วนใหญ่ก็จำต้องหันไปพึ่งพากำลังซื้อจากคนในประเทศ จึงเกิดสภาวะการแย่งชิงและแข่งขันกันอย่างรุนแรง จนทำตำราแข่งกันไปสู่ความหายนะ
แต่ในความเป็นจริงนั้น ยังคงพอจะมีอุตสาหกรรมบางชนิดที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาโควิด-19 ในระดับที่ไม่มากนัก เช่น กลุ่มค้าปลีก กลุ่มการแพทย์ กลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม กลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น แต่ถึงแม้อุตสาหกรรมกลุ่มดังกล่าวได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ไม่มากนัก แต่ก็ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีน และปัญหาที่เกิดจาก technologydisruption มิใช่น้อย
หากทุกคนยังจำกันได้ดี ก็คงคิดในเชิงบวกมาตั้งแต่ช่วงที่ประเทศไทยคลาย lock down เมื่อประมาณกลางปีที่แล้ว พร้อมตั้งความหวังอันเรืองรองว่าเศรษฐกิจไทยน่าจะกลับมาฟื้นตัวได้ภายในระยะเวลา 1 ปี บนสมมุติฐานที่ว่าจะต้องไม่มีการแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ และต้องไม่มีการlock down ประเทศอีก รวมถึงตั้งความหวังว่าจะไม่มีการประท้วงทางการเมืองขั้นรุนแรงจนนำไปสู่เหตุมิคสัญญีกลียุคด้วย
แต่สุดท้ายแล้ว ความฝันอันเรืองรองก็พังทลายลงในทันที เมื่อมีข่าวเรื่องการแพร่ระบาดโควิด-19 ครั้งใหม่โดยข่าวนี้เริ่มมาตั้งแต่ช่วงปลายเดือนพฤศจิกายนต่อเนื่องถึงต้นเดือนธันวาคม (ข่าวหญิงไทยกลุ่มหนึ่งที่ข้ามไปทำธุรกิจบางประเภทที่ไม่น่าจะถูกกฎหมายที่ชายแดนไทย-เมียนมา ในเขตทางตอนเหนือของไทย แล้วนำเชื้อ
โควิด-19 กลับเข้ามาแพร่กระจายในไทย) ข่าวนี้สร้างความตระหนกพอประมาณให้กับคนไทยจำนวนไม่น้อย จนถึงกับทำให้ภาคธุรกิจท่องเที่ยวและบริการในเขต
ภาคเหนือของไทยถึงกับชะงักตัวในทันที
แต่ทว่ายังมีข่าวร้ายที่ร้ายยิ่งกว่านั้นคือ เมื่อเกิดปัญหาแรงงานเมียนมาที่ตลาดกลางกุ้งมหาชัย ติดเชื้อโควิด-19 แล้วแพร่กระจายเชื้อไปในวงกว้าง แต่ข่าวร้ายก็ยังไม่จบเพียงเท่านั้น เพราะมีข่าวร้ายกว่าคือมีการแพร่กระจายเชื้อโควิด-19 ในประเทศไทยจากบ่อนการพนันที่กระจายตัวอยู่ในหลายพื้นที่ของประเทศ
จนในที่สุด ประเทศไทยที่เคยได้รับการชื่นชมโสมนัสจากนานาชาติ รวมถึงจากคนไทยด้วยกันเองว่าเป็นประเทศที่สามารถดูแลป้องกันและจัดการปัญหาโควิด-19 ได้ดีเป็นอันดับต้นๆ ของโลก ก็ต้องแปรสภาพเป็นประเทศที่มีการแพร่ระบาดของเชื้อมรณะตัวนี้ในระดับที่น่าเป็นห่วง (แต่ในที่นี้จะไม่ขอกล่าวไปถึงประเด็นที่ว่าใครคือต้นเหตุสำคัญของการปล่อยให้มีบ่อนเถื่อนในประเทศไทย และปล่อยให้มีขบวนการค้าแรงงานมนุษย์จากประเทศเพื่อนบ้านในประเทศไทย)
ดังนั้น เมื่อเกิดเหตุระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่เรียบร้อยแล้ว ก็จึงเท่ากับปิดฉากความหวังที่ว่าในปี 2564 ประเทศไทยจะสามารถผ่อนปรนมาตรการควบคุมเชื้อโควิด-19 แล้วเปิดให้นักท่องเที่ยวต่างชาติสามารถเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวได้อีกครั้งไปโดยปริยาย
คราวนี้เราจะกลับไปดูปัญหาที่ทุกคนได้รับผลกระทบอย่างเห็นได้ชัด อันเนื่องมาจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกปัจจุบัน คือปัญหาการว่างงานหรือตกงานของคนจำนวนไม่น้อย
อ้างอิงจากงานวิจัยของ ศูนย์ศึกษาและพัฒนาเศรษฐกิจ สถาบันบันฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (NIDA) โดย ผศ. ดร.อัธกฤตย์ เทพมงคล พบว่าปัญหาจากโควิด-19
ทำให้ชีวิตและความเป็นอยู่ของแรงงานไทยเปลี่ยนแปลงในด้านลบอย่างเห็นได้ชัด คือ จากการสำรวจเมื่อเดือนพฤษภาคม 2563 แรงงานไทยร้อยละ 69 มีรายได้ลดลงประมาณร้อยละ 47 สาเหตุที่ทำให้รายได้แรงงานลดลงคือ ไม่มีลูกค้าไปซื้อหาสินค้าจึงทำให้รายได้ของนายจ้างลดลง เมื่อรายได้นายจ้างลดลง ก็ต้องขอปรับลดเงินค่าจ้างจากแรงงาน และถูกเลิกจ้างงานเพราะปิดกิจการ
เมื่อดูภาพรวมของผลวิจัยพบว่า ร้อยละ 13 ไม่มีรายได้ (คือตกงาน) ร้อยละ 15 รายได้ดีขึ้น ร้อยละ 30รายได้คงเดิม และร้อยละ 42 รายได้ลดลง
ปัญหาใหญ่ของประเทศคือ หากประชาชนจำนวนมากไม่มีรายได้ เขาเหล่านั้นจะดำรงชีวิตต่อไปอย่างไร รัฐบาลจะมีปัญญาแก้ปัญหาให้คนกลุ่มนี้ได้หรือไม่ ทั้งนี้ เราทุกคนต้องไม่ลืมว่าปัญหาการไม่มีรายได้ของประชาชนในครั้งนี้ ไม่ได้เกิดมาจากการงอมืองอเท้า ไม่ยอมทำงาน แต่เกิดมาจากการตกงาน หรือการเลิกจ้าง เพราะมูลเหตุจากการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ระลอกใหม่
แน่นอนว่าเมื่อคนไม่มีจะกิน เพราะไม่มีงานทำ แต่ทว่าพวกเขายังต้องกินต้องใช้เป็นประจำทุกวัน คำถามต่อมาคือพวกเขาจะหาเงินจากที่ไหนมาหล่อเลี้ยงกระเพาะของเขา หากพวกเขาไม่มีงานสุจริตให้ทำ พวกเขาก็ต้องดิ้นรนทุกหนทางเพื่อให้ได้เงินมาใช้จ่าย เพราะคงไม่มีคนจนทุกคนพร้อมใจกันฆ่าตัวเองเพื่อให้พ้นจากปัญหาความยากจนและความอดอยากอย่างแน่นอน นั่นหมายความว่า พวกเขาก็จำเป็นต้องหาเงินด้วยหนทางและกรรมวิธีทุจริต ซึ่งก็หมายความว่าหากเขาเลือกหนทางทุจริต ประเทศไทยก็จะมีคดีอาชญากรรมเพิ่มมากขึ้นในทุกขณะ แล้วประเทศก็จะไม่มีความสงบสุขอีกต่อไป ทั้งๆ ที่ปัจจุบันก็หาความสงบสุขได้ค่อนข้างยากเย็นอยู่แล้ว
แน่นอนว่า เชื้อโควิด-19 สามารถฆ่าคนจำนวนมากได้ แต่ก็ต้องไม่ลืมว่าความหิว ความอดอยากก็สามารถฆ่าคนได้เช่นกัน ดังนั้น จึงไม่ต้องประหลาดใจเลยที่เรามักจะได้ยินเสียงพูดเชิงประชดประชัน (แต่แฝงไว้ด้วยความเป็นไปได้ที่น่ากลัวมาก) ว่า โควิดก็กลัว แต่กลัวอดตายมากกว่า เพราะฉะนั้น ก็ต้องเลือกหนทางที่ไม่ทำให้ตัวเองต้องอดตาย เพราะถ้าหากติดโควิดแล้วตาย ก็ยังพอจะเข้าใจได้ แต่หากหิวตายนี่ คงไม่สามารถทนรับได้ เพราะไม่สามารถปล่อยให้ลูกและคนในครอบครัวหิวตายได้อย่างแน่นอน ดังนั้น หากมีหนทางใดที่ทำให้ได้เงินมาจุนเจือครอบครัว และมีเงินเลี้ยงกระเพาะ ก็ต้องทำทุกหนทาง
ผู้เขียนไม่แน่ใจว่ารัฐบาลได้ยินเสียงพูดแบบนี้จากประชาชนจำนวนไม่น้อยบ้างหรือไม่ แต่ถึงกระนั้นผู้เขียนก็ยังพยายามเข้าใจว่ารัฐบาลกำลังหาทางแก้ปัญหาให้ประชาชนอยู่อย่างขมีขมัน แต่ถึงกระนั้นก็ยังอดเป็นห่วงประเทศชาติบ้านเมือง เป็นห่วงเพื่อนร่วมแผ่นดิน แล้วก็เป็นห่วงตัวเองด้วย เพราะถ้าหากผู้คนจำนวนมากเผชิญปัญหาความอดอยากจนถึงขั้นวิกฤติ ก็หมายความว่าประเทศต้องตกอยู่ในสภาวะวิกฤติ แล้วถ้าหากวันนั้นมาถึงจริงๆ รัฐบาลก็ไม่สามารถมีอำนาจรัฐได้ต่อไปบนความวิกฤติของแผ่นดิน
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี