สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่ยังคงลุกลามและกลับมาระบาดอย่างหนักในหลายประเทศ สร้างความวิตกกังวล เมื่อดูจากสถานการณ์ของตัวเลขผู้ติดเชื้อล่าสุดยังคงเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยไม่มีทีท่าว่าจะชะลอตัวแต่อย่างใด ซึ่งก่อนหน้านี้มีการคาดการณ์ไว้ว่าผู้ติดเชื้อสะสมจะทะลุ 100 ล้านคนภายในสิ้นเดือนมกราคม แต่ล่าสุดตัวเลขผู้ติดเชื้อสะสมเกิน 96.1 ล้านคนไปแล้ว จึงคาดว่าตัวเลขสะสมทั่วโลกจะขึ้นแตะถึงหลักร้อยล้านก่อนสิ้นเดือนเป็นที่แน่นอน และอาจทะยานเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนกว่าจะมีการได้รับวัคซีนอย่างทั่วถึง แต่อะไรจะเป็นตัวการันตีว่าวัคซีนจะยับยั้งโรคได้
อย่างไรก็ตาม ในหลายประเทศก็เริ่มมีการฉีดวัคซีนไปบ้างแล้วรวมถึงประเทศไทย ที่กำลังจะมีการเริ่มทยอยฉีดภายในเดือนหน้า แต่ก็ไม่แน่ใจว่าจะสามารถจบปัญหาได้ง่ายๆ เพราะวัคซีนจากแหล่งไหนจะใช้ได้ผลอย่างไร จะครอบคลุมกี่ปี กี่สายพันธุ์ จะกลับมาติดหรือไม่ในเวลาเท่าใด ก็ยังไม่มีใครรู้ เพราะกระบวนการผลิตและทดลองวัคซีนครั้งนี้กระทำขึ้นด้วยความรวดเร็วกว่า
หลักวิชาการปกติ ? ซึ่งทั่วโลกต่างก็กำลังทดลองใช้ไปพร้อมๆ กัน ผลจะเป็นอย่างไรคงต้องติดตามกันอย่างใกล้ชิด ซึ่งสาเหตุที่ประชาชนเร่งเร้ารัฐบาลให้จัดหาวัคซีนอย่างเร่งด่วนเช่นนี้ ก็เพราะสถานการณ์ในประเทศกลับมาแย่ตั้งแต่ช่วงปลายปีที่แล้ว
ตอนนี้พอโควิดกลับมาระบาด ก็ทำให้เกิดความตึงเครียดของประชาชน และต่างพากันตั้งคำถามและโจมตีการทำงานของรัฐบาล (1) ทั้งๆ ที่รัฐบาลควบคุมประชาชนในประเทศอย่างเข้มงวด ประชาชนก็ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ต่างประเทศบินมาต้องกักตัว 14 วัน แล้วการแพร่ระบาดกลับมาได้อย่างไร? ใครปล่อยให้เข้ามา? รัฐจัดการไม่ได้? (2) มาตรการเยียวยาไม่ตอบโจทย์ แก้ไขไม่ตรงจุดหรือไม่ ? ใช้งบฟุ่มเฟือย หรือไม่? (3)ทำไม่วัคซีนเราได้ช้ากว่าต่างชาติ หลายประเทศเขาฉีดกันแล้ว ทำไมใช้งบซ้ำซ้อนเอื้อประโยชน์ใครหรือไม่? ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร?
สิ่งที่วิพากษ์วิจารณ์ ก็มีส่วนจริงบ้างในส่วนผลกระทบ แต่สาเหตุในแต่ละเรื่องมีที่มาอย่างไร ต้องเข้าไปดู
รัฐบาลคุมไม่อยู่?
อย่างการแพร่ระบาดรอบสองนี้ จากข่าวที่นำเสนอคือ มาจากชุมชนชาวต่างชาติในเมืองไทย แต่เขาเข้ามาได้อย่างไร ก็เพราะการเข้าเมืองมานั้นผิดกฎหมายใช่หรือไม่ ? จึงไม่ได้รับการตรวจและการกักตัว เมื่อสาเหตุมาจากตรงนั้นก็ควรไปแก้ที่ต้นทางของปัญหาคือการลักลอบเข้าเมือง ซึ่งก็ต้องยอมรับว่าความจริงว่าประเทศไทยที่มีพรมแดนติดกับประเทศเพื่อนบ้านยาวหลายร้อยกิโลเมตร สิ่งเหล่านี้อาจเกิดขึ้นอีก ตรงนี้ต่างหากที่ต้องช่วยกันคิดและป้องกัน และเพิ่มช่องทางตรวจและนำเข้าแรงงานให้ถูกกฎหมาย ไม่ใช่ปิดประเทศหรือผลักดันแรงงานออกเพราะยังไงเราก็ต้องพึ่งพาแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้านแบบไม่อาจปิดประเทศไม่รับได้
แต่ปัญหาที่ตามมาเพิ่มคือ การแพร่ระบาดในหมู่คนไทยที่มาจากบ่อนการพนัน ตรงนี้สิปัญหาจริง ถามว่าเป็นหน้าที่ของใคร เรื่องนี้รัฐต้องและจำเป็นอย่างมากที่จะต้องตามตัวและเอาตัวคนผิดมาลงโทษ
แต่ในขณะเราบอกว่าเราแย่ เหตุการณ์ในประเทศชั้นนำของโลกเขา เป็นอย่างไร..
มหาอำนาจทางเศรษฐกิจและสาธารณสุขอย่างสหรัฐฯ แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นชาติที่มีผู้เสียชีวิตมากที่สุดด้วย จากข้อมูลล่าสุดประเทศสหรัฐฯ ประเทศเดียวมีผู้ติดเชื้อสะสมสูงถึง 24.5 ล้านคน และมีผู้เสียชีวิตไปแล้วมากกว่า 400,000 คน คิดเป็น 20% ของจำนวนผู้เสียชีวิตทั้งโลก 2 ล้านคน
สภาวการณ์ในตอนนี้นั้นแย่ทั่วโลก ถ้านับไปแล้ว ประเทศไทยคือประเทศที่พอจะสามารถควบคุมการแพร่ระบาดได้ดีกว่าในหลายประเทศ และการที่เชื้อไวรัสกลับมาระบาดอีกระลอกเช่นนี้ก็ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะประเทศไทย ประเทศชั้นนำอื่นๆอย่าง ญี่ปุ่น เกาหลี หรือแม้กระทั่งประเทศเพื่อนบ้านอย่างมาเลเซีย ก็กลับมาระบาดเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ก็ต้องอาศัยความร่วมมือจากประชาชนด้วยเช่นกันเพราะปีที่ผ่านมาสิ่งที่ทำให้คนไทยรอดมาหรือฟื้นตัวเร็วในการระบาดรอบแรก เพราะคนไทยช่วยกันปฏิบัติตนให้อยู่ในระเบียบแม้จะสูญเสียอิสรภาพบ้าง แต่ก็ทำให้กระบวนการแพร่เชื้อลดลงอย่างรวดเร็ว
มาตรการเยียวยาไม่ได้ผล?
ในส่วนของมาตรการเยียวยาจากรัฐบาล ซึ่งในปัจจุบัน ที่โควิดกลับมาระบาดรอบสองและรัฐบาลมีมาตรการคุมเข้มที่อาจกระทบวิถีชีวิตประชาชนและในบางธุรกิจและกิจกรรม ซึ่งมาตรการเยียวยาจากรัฐ คงไม่สามารถทำให้ทุกคนมีรายได้เป็นปกติเท่ากับตอนก่อนมีโควิดได้ โดยที่ผ่านมาหนึ่งปีที่รัฐบาลนี้ออกมาตรการเยียวยา แต่ก็ต้องยอมรับว่าเป็นการลองผิดลองถูก และก็อาจจะไม่ดีหรือไม่เสียไปทุกเรื่อง
และในความเป็นจริงมาตรการต่าง ๆ ที่รัฐบาลทำมาตั้งแต่ปีที่แล้วหรือกำลังจะทำ หลายประเทศก็ทำเช่นเดียวกัน อย่างมาตรการจ่ายเงินเยียวยาประชาชนเพื่อยังชีพ อย่างเมื่อปีที่แล้วมีมาตรการอย่าง “เราไม่ทิ้งกัน” ที่ให้เงินเยียวยาแก่ประชาชน 5,000 บาท ต่อเนื่อง 3 เดือน ซึ่งมีผู้ได้รับสิทธิ์ไปกว่า 15.3 ล้านคน และในปีนี้ที่ไวรัสกลับมาระบาดอีกครั้ง รัฐบาลก็ได้มีการออกมาตรการในลักษณะเดียวกันชื่อว่า “เราชนะ” ที่จะมีการเปิดให้ลงทะเบียนในวันที่ 29 มกราคม 2564 โดยครั้งนี้จะมีการจ่ายเงินแก่ประชาชนคนละ 3,500 บาท ต่อเนื่อง 2 เดือน ซึ่งแม้จะน้อยกว่าครั้งที่แล้วทั้งจำนวนเงินและความต่อเนื่อง แต่ที่จะเยอะกว่าคือจำนวนผู้ที่จะได้รับสิทธิ์ที่ประมาณการไว้ว่าจะสูงถึง 31.1 ล้านคน คาดว่าที่รัฐบาลเปลี่ยนมาตรการมาทำเช่นนี้ก็เพื่อกระจายเงินให้ไปถึงประชาชนมากขึ้นและครอบคลุมขึ้นหรือไม่ ? แต่ก็ไม่มีใครการันตีได้ว่าผลที่จะออกมาจะเป็นเช่นไร คุ้มค่าหรือไม่?
รวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอื่น อย่าง การปล่อยสินเชื่อในราคาถูก การพักหนี้ ซึ่งสำคัญมากต่อธุรกิจโดยเฉพาะขนาดกลางและขนาดเล็กที่มีสายป่านไม่ยาวนัก แต่ที่เรามีมาตรการมากกว่าประเทศอื่นก็คือมาตรการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ อาจจะเพราะที่เรามีช่องหายใจจากปีที่แล้วที่โควิดหายไปช่วงหนึ่ง ทำให้มาตรการฟื้นเศรษฐกิจอย่าง “โครงการคนละครึ่ง” ซึ่งเป็นการที่ใช้เงินรัฐและได้ประโยชน์สองต่อ ทั้งผู้บริโภคและผู้ค้ารายย่อย โดยจากคาดการณ์ของกระทรวงการคลัง โครงการคนละครึ่ง และบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ หรือ บัตรคนจน ช่วยให้เงินสะพัดโดยตรงลงสู่ระบบไม่ต่ำกว่า 66,000 ล้านบาท และสามารถดันจีดีพีประเทศโตได้ 0.2%
ทำไมวัคซีนไทยล่าช้า เอื้อประโยชน์?
จากที่นักการเมืองบางคนของไทยออกมาวิพากษ์วิจารณ์ กระบวนการวัคซีนต่างๆ นานา และบางส่วนพยายามโยงพาดพิงไปถึง สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ที่อาจทำให้ประชาชนเข้าใจผิดหรือไม่? ซึ่งเมื่อมีการวิจารณ์ดังกล่าวออกมาก็มี นพ.นคร ซึ่งเป็นผู้อำนวยการสถาบันวัคซีนแห่งชาติออกมาชี้แจงข้อเท็จจริงสรุปได้ประมาณว่า การผลิตวัคซีนโดยบริษัทสยามไบโอไซเอนซ์เป็นความร่วมมือระหว่างไทยและอังกฤษ โดยที่บริษัทแอสตราเซเนกาเป็นผู้เลือกเอง โดยเขาจะเลือกบริษัทที่มีเทคโนโลยีและการผลิตที่ได้มาตรฐานกำหนด ไม่ใช่จะเอาบริษัทใดในไทยมาทำก็ได้ แม้กระทั่งองค์การเภสัชกรรมของสาธารณสุขก็ยังไม่มีศักยภาพพอ และประเทศอื่นก็ต้องการข้อเสนอและระยะเวลารวดเร็วแบบไทยอย่างนี้ แต่เรามีความพร้อมมากกว่า
ส่วนการได้ช้าเร็วกว่าประชาชนในประเทศเพื่อนบ้านนั้น ต้องเข้าใจก่อนว่า วัคซีนครั้งนี้คือการจัดทำครั้งแรกของโลก จะว่าไปแล้วตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันก็ไม่มีการผลิตวัคซีนแล้วใช้ทันทีอย่างนี้มาก่อน ความสุ่มเสี่ยงคือมีความเสี่ยงพร้อมกันทั่วโลก เพราะใช้เวลาหลังการผลิตไม่กี่เดือนก็ใช้เลย อาจมีผลกระทบหรือไม่ยังไม่มีใครรู้ หากเราตัดสินใจซื้อจากเอกชนมาใช้เลย โดยไม่มีสถาบันที่เชี่ยวชาญด้านนี้มาเป็นตัวกลั่นกรองให้ ความเสี่ยงอาจมากกว่านี้หรือไม่ การที่ซื้อมาใช้เลยจึงไม่ง่ายและอาจไม่ใช่ทางออก และหากมองระยะยาวถึงการพัฒนาการวิจัยวัคซีนในประเทศไทย รวมถึงการระบาดของโลกมันยังไม่จบ วัคซีนที่ฉีดก็ไม่มีใครการันตีว่าฉีดแล้วจะจบ ถ้ากระบวนการยังต้องดำเนินการต่อไป ทั่วโลกก็จะต้องเสียเงินครั้งใหญ่อีกกี่ครั้ง การตัดสินใจเร็วในสภาวะที่ไม่มีใครการันตีได้เช่นนี้ ก็อาจจะไม่ใช่คำตอบก็ได้
ในสภาวการณ์ที่อยู่ในช่วงวิกฤติ เช่นนี้เป็นวิกฤติของชีวิตคน นักการเมืองอาจต้องมองบทบาทตนเองให้ออก เล่นการเมืองให้พอเหมาะพอควร ลดการเล่นเกมเพื่อเปิดทางให้รัฐแก้วิกฤตการณ์สักครู่….
“ไม่ว่าวิกาลเหน็บหนาวยาวนานปานใด ต้องมีเวลาฟ้าสางสว่าง”
โกวเล้ง จากหนังสือ มังกรเมรัย
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี