ประชาคมอาเซียนมีสมาชิก 10 ประเทศ โดย8 ใน 10 นั้นเรียกได้ว่าต่างตกอยู่ในสภาวะอำนาจนิยมครองเมือง จะมีก็เพียงแค่ 2 ประเทศเท่านั้นที่พอจะเชิดหน้าชูตาได้ว่าเป็นประชาธิปไตย ก็คือประเทศอินโดนีเซีย และสิงคโปร์
อินโดนีเซีย แม้จะเคยเป็นเผด็จการทหารมาร่วม30 ปี แต่บัดนี้ได้ก้าวไปเป็นประชาธิปไตยเต็มใบเรียบร้อยแล้ว โดยฝ่ายกองทัพยอมตบเท้ากลับสู่กรมกอง ปฏิรูปตนเองกลายเป็นทหารอาชีพ ไม่หวนกลับมาเป็นทหารฝักใฝ่การเมืองเช่นในอดีตอีกต่อไป
สิงคโปร์ถือว่าเป็นประชาธิปไตยในระดับหนึ่ง เพราะแม้จะมีหลายพรรค แต่กลับมีพรรคเดียวที่ครองอำนาจเป็นรัฐบาลมาโดยตลอด (ตั้งแต่ก่อตั้งประเทศ) ซึ่งประชาชนพลเมืองยังพอรับสภาพได้ ก็เพราะการบริหารราชการบ้านเมืองมีความโปร่งใส ภาคประชาสังคมสามารถตรวจสอบอย่างเข้มข้น และรัฐบาลก็สามารถชี้แจงได้ รวมทั้งกิจสาธารณะมีการปรึกษาหารือกันอย่างกว้างขวาง ระบบทุจริตคอร์รัปชั่นยังหาที่เกิดมิได้
ปี 2564 นี้ ประเทศที่ขึ้นมาทำหน้าที่ประธานประชาคมอาเซียนก็คือ บรูไน ซึ่งอยู่ภายใต้ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ที่องค์ประมุขเป็นผู้ปกครอง และผู้นำทางศาสนาด้วย โดยบรูไนนั้นร่ำรวยไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติ คือน้ำมันและก๊าซ ซึ่งนำรายได้เข้าประเทศ และนำไปสู่สวัสดิการประชาชนพลเมืองอย่างทั่วถึง ต่างก็อิ่มท้องกันถ้วนหน้า ในขณะที่เรื่องสิทธิเสรีภาพไม่ต้องไปคิด ไม่ต้องไปพูดถึง
ลาว กับเวียดนาม ต่างเป็นคอมมิวนิสต์อย่างชัดเจน ไม่ต้องขยายความใด
ฟิลิปปินส์และกัมพูชา ต่างเป็นเผด็จการองค์บุคคล ที่ใช้เวทีเลือกตั้งเป็นแค่เครื่องมือเข้าสู่และผูกขาดอำนาจ
มาเลเซีย แม้จะมีการเปลี่ยนขั้วอำนาจ แต่ก็เป็นเพียงระยะสั้นๆ และกำลังเผชิญกับแนวโน้มของชาติพันธุ์และศาสนานิยม อีกทั้งรัฐบาลชุดปัจจุบันได้ใช้โรคระบาดโควิด-19 เป็นข้ออ้างในการเลื่อนการเลือกตั้ง และการปิดรัฐสภาไปอย่างน้อยจนถึงเดือนสิงหาคมนี้ ก็เท่ากับว่า เป็นการบริหารราชการกึ่งเผด็จการ
ไทยกับเมียนมา ถือเป็นคู่แฝดของการเมืองแบบมีฝ่ายกองทัพแฝงอยู่อย่างถูกต้องตามกฎหมาย (ที่ฝ่ายกองทัพช่วยกันขีดเขียนขึ้นมาใช้)
โดยองค์รวมจึงจัดได้ว่าประชาชนพลเมืองอาเซียน 8 ใน 10 ประเทศ จำนวนกว่า 2 ใน 3 ของ600 ล้านคนนั้น ไม่ได้มีสิทธิเสรีภาพอย่างที่หลายๆ ประเทศที่เจริญแล้วเขามีกัน เพราะประชาธิปไตยในอาเซียนได้ถูกบอนไซซ้ำซาก
การที่ 10 ประเทศรวมตัวกันเป็นประชาคมอาเซียน และได้มีการตั้งคำขวัญอาเซียนไว้ว่า “อาเซียนมีประชาชนเป็นที่ตั้ง เป็นหัวใจ เป็นศูนย์กลาง” เพราะประชาคมอาเซียนจะอยู่ได้ก้าวหน้าไปได้อย่างสง่างามและมั่นคง ประชาชนพลเมืองทั้ง 600 ล้านคนต้องมีซุ่มมีเสียง มีส่วนร่วม
แต่คำขวัญดังกล่าวก็ยังคงเป็นแค่คำกล่าวลอยๆ ที่ยังไม่ได้มีการนำไปสู่การปฏิบัติอย่างจริงจัง เพราะการเมืองภายในของแต่ละประเทศสมาชิกดังกล่าว 8 ประเทศจาก 10 ประเทศ ต่างไม่อำนวยให้ประชาชนพลเมืองได้ทำหน้าที่เป็นเจ้าของร่วมประชาคมอาเซียน
ประชาชนพลเมืองอาเซียนจึงอยู่นอกความเป็นไปของประชาคมอาเซียน ซึ่งเมื่อประชาคมอาเซียนขาดฐานประชาชนพลเมืองอย่างจริงจัง ความเป็นปึกแผ่นและความน่าเชื่อถือก็ไม่สามารถเกิดขึ้นตามมาได้
จากนี้ไป หากอยากจะให้เกิดการมีส่วนร่วมก็ต้องหันไปแก้ที่โครงสร้างทางการเมืองว่า ทุกประเทศจะต้องเป็นแบบประชาธิปไตย และในขณะเดียวกัน ประชาคมอาเซียนควรจะต้องมีรัฐสภาอาเซียนอย่างจริงจังเสียที เพื่อที่จะทำหน้าที่เป็นตัวแทนของชาวอาเซียน เพราะในวันนี้ที่เป็นอยู่ก็คือ สมัชชารัฐสภาอาเซียน ซึ่งประกอบด้วยสมาชิกรัฐสภาของแต่ละประเทศอาเซียน มิได้เป็นตัวแทนของชาวประชาคมอาเซียนโดยตรง
หากไม่มีสิทธิเสรีภาพของประชาชนในประเทศสมาชิกเป็นพื้นฐาน อนาคตและความเป็นปึกแผ่นของประชาคมอาเซียนก็คงจะเป็นเรื่องที่ห่างไกล และซุ่มเสียงในเวทีโลกก็จะจางหายไป อำนาจต่อรองก็จะไม่มี และในสายตาชาวโลกแล้ว ประชาคมอาเซียนก็อยู่แค่ด้วยคำพูด คำขวัญ หากแต่ไร้การปฏิบัติ
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี