ทันทีที่ปรากฏข่าวกองทัพเมียนมายึดอำนาจรัฐบาลออง ซาน ซู จี พร้อมประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน และ“จอมพลอาวุโส มิน อ่อง หล่าย” ผู้บัญชาการทหารสูงสุดคนปัจจุบัน จะขึ้นเป็นผู้บริหารสูงสุดของประเทศเป็นระยะเวลา 1 ปี
ปฏิกิริยาของนักการเมือง และนักเคลื่อนไหวการเมืองในไทย ก็แสดงออกหลายระดับ
1. พรรคเพื่อไทยประกาศเรียกร้องให้ปล่อยตัวนักการเมือง และนักเคลื่อนไหวทางการเมืองที่ถูกควบคุมตัวไว้โดยทันที
2. พรรคก้าวไกลออก “แถลงการณ์ต่อกรณีการรัฐประหารในประเทศเมียนมา (Statement on theMilitary Coup in Myanmar)” เรียกร้องให้ก้าวก่ายแทรกแซงการเมืองในเมียนมาอย่างชัดเจน เช่น
เรียกร้องให้ช่วยกันกดดันกองทัพเมียนมาให้ปล่อยตัวนางซู จี ที่ปรึกษาแห่งรัฐ, ประธานาธิบดีวิน มินต์, และผู้ที่ถูกกองทัพควบคุมตัวทั้งหมดโดยไม่มีเงื่อนไข
เรียกร้องให้ช่วยกันกดดันกองทัพเมียนมาไม่ให้ใช้กำลังปราบปรามประชาชนเมียนมาที่ออกมาต่อต้านการรัฐประหาร และต้องยุติการปิดกั้นการสื่อสารทุกชนิด ซึ่งเป็นสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานของประชาชนทุกคน
ยิ่งกว่านั้น ยังเรียกร้องให้พรรคการเมืองและรัฐบาลต่างๆ มีมาตรการคว่ำบาตรคณะรัฐประหารเมียนมาทั้งด้านการเมืองและเศรษฐกิจ
3. การแสดงความคิดเห็นส่วนบุคคล แสดงตัวว่ามีอุดมคติสวยงามแค่ไหน ก็เป็นเรื่องที่สามารถกระทำได้ แต่หากเรียกร้องถึงขนาดให้รัฐบาลไทยมีมาตรการบางอย่าง ในลักษณะกดดัน ก้าวก่าย แทรกแซง แน่นอนว่าจะต้องคิดไตร่ตรองให้รอบคอบ
เพราะมาตรการเหล่านั้น อาจเป็นเสมือนบูมเมอแรง ย้อนกลับมาทำร้ายประชาชนในประเทศของเราเอง หากถูกตอบโต้กลับจากรัฐบาลที่มีอำนาจเต็มในเมียนมา
โดยเฉพาะประชาชนที่อยู่ตามแนวชายแดนไทย-เมียนมา และภาคธุรกิจเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กันกับเมียนมา
4. จำได้ว่า... ไม่นานมานี้ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจผู้ก่อตั้งพรรค “พรรคอนาคตใหม่” ก็เคยพยายามจะเอาประเด็น “โรฮีนจา” ในประเทศเพื่อนบ้านมา “โหน”เพื่อหวังสร้างภาพ ชุบตัว ให้ดูดี
“...ถ้าพรรคเรามีโอกาสเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลเราจะยื่นมือของคนไทยไปให้พวกเขา (โรฮีนจา) และจะมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาอย่างกระฉับกระเฉงด้วยการเปิดการพูดคุยกับรัฐบาลเมียนมาอย่างมียุทธศาสตร์ ใช้เวทีอาเซียนเป็นตัวกลางแก้ปัญหานี้ร่วมกัน เหมือนที่มาเลเซียและอินโดนีเซีย กำลังทำอยู่ และได้ช่วยรับผู้ลี้ภัยจำนวนหนึ่งไปแล้วด้วยโดยเฉพาะมาเลเซียที่อนุญาตให้ผู้ลี้ภัยโรฮีนจาทำงานได้กลายเป็นฟันเฟืองขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ เลี้ยงตนเองและครอบครัว ไม่ใช่ภาระเรื้อรังของประเทศอื่นๆ อย่างที่หลายคนเข้าใจ เราจะไม่ปล่อยให้พวกเขาล่องลอยอย่างเดียวดายในทะเล ถูกผลักไสอย่างไม่มีที่สิ้นสุด...”
ปรากฏว่า ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่านั่นคือการคิดตื้นๆ แบบนักการเมืองไร้เดียงสาที่อยากจะเป็นพระเอกเป็นการชักศึกเข้าบ้าน และเข้าไปก้าวก่ายกิจการภายในของเพื่อนบ้าน ละเมิดกฎบัตรอาเซียน และจะทำให้ประเทศไทยเผชิญทั้งต้นทุนและความเสี่ยง ผลกระทบด้านความมั่นคงทั้งในและนอกประเทศ
หลังจากถูกกระแสตีกลับ เจ้าตัวก็เงียบไป
5. จำได้ไหม... เราเคยมีอดีตนักการเมืองไทยที่เป็นนักเผือกในตำนาน
ถึงขนาดเคยเข้าไปก้าวก่ายแทรกแซงการรัฐประหารในประเทศเพื่อนบ้านอย่างกัมพูชาในอดีตมาแล้ว
เขาคนนี้ เคยทำธุรกิจในกัมพูชา
ถูกฮุนเซนหั่นสัมปทานจาก 99 ปี เหลือ 30 ปี
มีข้อครหาให้เงินฝ่ายตรงข้ามหนุนการยึดอำนาจหวังโค่นล้มฮุนเซน
ต่อมา เมื่อนายคนนี้มาเป็นใหญ่เป็นโต สถานทูตไทยในกัมพูชาก็ถูกเผา
พอมีอำนาจ นายคนนี้ก็มีผลประโยชน์ทับซ้อนกับประเทศเพื่อนบ้านโดยตลอด
พอหนีคดีโกงไป ก็ยังไปพึงพาผู้มีอำนาจในกัมพูชา จัดงานเคลื่อนไหวการเมือง ให้ที่พักพิง
หลานสาวก็ไปเป็นดองกับนักการเมืองกัมพูชา ฯลฯ
นั่นคือตำนานนักเผือกการเมืองในประเทศเพื่อนบ้าน
ปัจจุบัน นายคนนี้ก็ยังหนีคดีโกงอยู่ต่างประเทศ
นักเผือกรุ่นหลังควรดูไว้เป็นบทเรียน ก่อนริอ่านจะเผือกด้วยความระริกระรี้มั่นใจว่าตัวเองฉลาดล้ำยิ่งกว่าใครๆ ในโลก
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี