“ชคัทธาดา เมนะสูต” นักข่าวอาวุโสแฟนพันธุ์แท้ของ บิ๊กตู่-พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา อาสาทบทวนความหลังและชื่นชมพลเอกประยุทธ์ว่ากล้าตัดสินใจก่อรัฐประหารล้มรัฐบาลของ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตรเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 เพื่อแก้ไขปัญหาการ Dead Lock ทางด้านการเมืองที่เกิดขึ้นตามรัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 เมื่อรัฐประหารไปแล้วคณะรัฐประหารของคณะทหารที่เรียกชื่อย่อๆ ว่า คสช.ก็ได้จัดตั้งรัฐบาลคสช.ขึ้นมาในวันที่ 24 สิงหาคม 2557โดยมี พลเอกประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรีสมัยแรก
เมื่อเป็นนายกรัฐมนตรีแล้วสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญขึ้นมาร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เรียกว่ารัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 ประกาศใช้มาจนถึงปัจจุบันและหลังจากเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 26 มีนาคม 2562 พลเอกประยุทธ์ได้เข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรี ในวาระที่ 2 ตามรัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 ตั้งแต่วันที่ 9 มิถุนายน 2562 ซึ่งตามระยะเวลาการทำงานนั้นเทอมการบริหารของรัฐบาลพลเอกประยุทธ์จะหมดวาระลงในวันที่ 9 มิถุนายน 2566 ซึ่งจะครบ 4 ปีพอดี
นับตั้งแต่ปี 2562 เป็นต้นมา พรรคฝ่ายค้านที่มีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำซึ่งรวมเสียงในสภาผู้แทนราษฎรได้น้อยกว่าฝ่ายพรรคการเมืองที่สนับสนุนพลเอกประยุทธ์เป็นนายกรัฐมนตรีได้พยายามเจาะยางรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ให้ได้แต่ตลอดปี 2562 ปรากฏว่าทำไม่สำเร็จแถมเมื่อพรรคอนาคตใหม่ของ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ถูกยุบตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในปี 2563 คะแนนเสียงของพรรคร่วมฝ่ายค้านลดลงและยังผลให้ฝ่ายรัฐบาลกลับได้เปรียบมากขึ้นอีกเพราะฐานคะแนนเสียงในสภาผู้แทนราษฎรที่สนับสนุนพลเอกประยุทธ์มีเพิ่มขึ้น
แม้ในเดือนมีนาคม 2563 ประเทศไทยจะพบภาวะวิกฤติเศรษฐกิจจากปัญหาไวรัสโคโรนาระบาดทั่วโลกแต่ประสิทธิภาพในการบริหารประเทศของรัฐบาลพลเอกประยุทธ์กับมั่นคงมากกว่าปี 2562 เสียอีกแม้ช่วง 4 เดือนหลังของปีเกิดวิกฤติการเมืองจากการชุมนุมของม็อบชู 3 นิ้ว ก็ปรากฏว่าประชาชนคนไทยส่วนใหญ่เอือมระอากับการชุมนุมของม็อบเพิ่มมากขึ้นเพราะข้อเรียกร้องของม็อบนั้นเลยเถิด มากกว่าจะมาขับไล่รัฐบาลพลเอกประยุทธ์
ข้อพิสูจน์ที่เห็นอย่างชัดเจนว่าประชาชนคนไทยร้อยละ 90 ไม่เอากับม็อบเด็กชู 3 นิ้ว ก็คือผลการเลือกตั้งนายกอบจ. ในวันที่20 ธันวาคม 2563ที่ผ่านมาจาก 76 จังหวัดทั่วประเทศ ไม่มีจังหวัดใดที่กลุ่มก้าวไกลจะประสบผลสำเร็จในการเลือกตั้งนั่นคือพบกับคำว่าพ่ายแพ้ทั้งหมดแสดงให้เห็นว่าประชาชนคนไทยรับไม่ได้กับนโยบายของพวกม็อบชู 3 นิ้ว
ถ้าหากวิเคราะห์ถึงความมั่นคงในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา จากการประเมินผลงานและการบริหารในสภาวะวิกฤติจากไวรัสโคโรนาปรากฏว่า ประชาชนให้การตอบรับกับนโยบายต่างๆ ของรัฐบาลพลเอกประยุทธ์รวมไปถึงการฟื้นฟูเศรษฐกิจในภาวะวิกฤติที่รัฐบาลทำได้ตรงเป้าหมายมากยิ่งขึ้นในปี 2564 หลังจากลองผิดลองถูกมาแล้วจากเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้นในปี 2563
นโยบายต่อไปของรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ต้องกระทำต่อไปนั้นเป้าหมายหลักคือการแก้ไขวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจของประเทศไทยในภาวะไวรัสโคโรนาระบาดให้สำเร็จมากกว่าปี 2563 ที่ผ่านมา ซึ่งวิธีการพื้นฐานจากทฤษฎีเศรษฐศาสตร์มหภาคของศาสตราจารย์ลอร์ด จอห์น เมนาร์ดเคนส์ บิดาวิชาแม็คโครอีโคโนมิกชาวอังกฤษที่ใช้มาตั้งแต่ยุคเศรษฐกิจโลกตกต่ำในปี 2473 เป็นต้นมา
วิธีการก็คือภาครัฐต้องอัดฉีดเม็ดเงินเข้าไปเติมในระบบเศรษฐกิจทั้งเศรษฐกิจระดับฐานรากและเศรษฐกิจระดับบนนั่นคือพยุงให้ผู้ประกอบการสามารถทำกิจการของเขาต่อไปได้โดยรักษาการว่าจ้างงานเอาไว้โดยเม็ดเงินที่ภาครัฐบาลของพลเอกประยุทธ์จะต้องทุ่มงบประมาณเข้าไปในปี 2564 นั้น จะต้องมากกว่าที่ทำมาแล้วในปี 2563
ซึ่งนโยบายนี้รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ต้องทำเร็วทำจริงให้เกิดผลในทางปฏิบัติอย่าล่าช้าเป็นอันขาดเชื่อว่าสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 ระบาดทั่วโลกจะค่อยๆ คลี่คลายมากขึ้น
การสร้างให้เศรษฐกิจทั้งฐานรากและเศรษฐกิจระดับบนอยู่รอดในภาวะวิกฤติก็จะสามารถทำให้ภาวะเดือดร้อนของประชาชนส่วนใหญ่ลดลงความปริวิตกในสังคมที่จะมากดดันเสถียรภาพของรัฐบาลก็จะมีน้อยลงรัฐบาลอย่าไปวิตกกับฐานะการเงินมากจนเกินไปหากนโยบายใดที่เห็นว่าดีทำแล้วประเทศได้ประโยชน์ก็ต้องรีบทำทันทีโดยต้องกล้าตัดสินใจและมีความสุจริตในการกระทำเป็นที่ประจักษ์เชื่อว่าพลเอกประยุทธ์จะเป็นนายกรัฐมนตรีในดวงใจของประชาชนได้ในท้ายที่สุด
ครับ!! ก็เป็นเสียงจากแฟนพันธุ์แท้ของบิ๊กตู่
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี