เมื่อสหรัฐอเมริกามีประธานาธิบดีคนใหม่นามว่า โจ ไบเดนผู้คนก็ต่างตั้งคำถามว่า แล้วประเทศสหรัฐฯ จะมีอะไรเปลี่ยนแปลง หรือจะมีอะไรใหม่บ้าง?
โดยทั่วไป การเปลี่ยนแปลงตัวประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกานั้น ถือว่าเป็นเรื่องภายใน ซึ่งมักจะเป็นความต่อเนื่องเกี่ยวกับบทบาทของรัฐในการบริหารบ้านเมือง ปกป้องประเทศ และรับใช้ประชาชนพลเมืองว่าจะมีมากน้อยเพียงใดถ้าเป็นฝ่ายพรรครีพับลิกันแล้ว ก็มักจะจำกัดบทบาทของฝ่ายรัฐ คือปล่อยให้ประชาชนพลเมืองรับผิดชอบตนเองให้มากที่สุด ตรงกันข้ามกับฝ่ายเดโมแครต ซึ่งมักจะคำนึงถึงความเหลื่อมล้ำในสังคม จึงประสงค์ให้ฝ่ายรัฐมีบทบาทในการช่วยเหลือเกื้อกูลสังคม ฉะนั้น คนอเมริกันก็ต้องเลือกระหว่างนโยบาย Big หรือ Small Government
ส่วนในเรื่องการต่างประเทศแล้ว ประเทศสหรัฐฯ นั้น ไม่ว่าจะเป็นประธานาธิบดีคนใด หรือมาจากพรรคใดก็ตาม โดยทั่วๆ ไปแล้วมักจะไม่มีแนวนโยบายที่แหกคอกออกไปจากแนวทางปกติ (หรือกล่าวได้ว่า ท่าทีต่างประเทศของผู้นำสหรัฐฯ ส่วนใหญ่นั้น จะมีความคล้ายคลึงกัน) นั่นคือต้องการคงสถานะความเป็น “เจ้าโลก” หรือความเหนือกว่าประเทศอื่นใด (Supremacy) โดยไม่ยินยอมให้ประเทศใดสามารถมาประชิดพรมแดนได้ (ซึ่งปกติการจะรุกรานสหรัฐฯนั้นก็เป็นไปได้อย่างยากลำบาก เพราะมีทั้งมหาสมุทรแอตแลนติกและแปซิฟิกขวางกั้นอยู่) นอกจากนั้นยังไม่ต้องการให้มีประเทศใดเข้ามาล้วงตับ บ่อนทำลายหรือขยายอิทธิพลในเขตทวีปอเมริกาเหนือและใต้ และในขณะเดียวกัน ก็มุ่งรักษาผลประโยชน์ของสหรัฐอเมริกาไว้ในทุกภูมิภาคต่างๆ ของโลกคือไม่ยอมให้ประเทศหนึ่งใดในแต่ละภูมิภาคขึ้นมาทาบรัศมีของสหรัฐอเมริกาได้
ในโลกสมัยใหม่ สหรัฐอเมริกานั้นมีผลประโยชน์ มีส่วนได้ส่วนเสียในโลกกว้างในแทบทุกด้าน ไม่ว่าในเรื่องความมั่นคง เรื่องเศรษฐกิจ เรื่องความคิดอ่าน และวิถีชีวิต ซึ่งโดยองค์รวมก็อยู่บนพื้นฐานของเรื่องสิทธิมนุษยชน สิทธิเสรีภาพของบุคคล และความเป็นประชาธิปไตยและระบบเศรษฐกิจการค้าแบบเปิด
ที่ผ่านมาร่วม 100 กว่าปี และโดยเฉพาะตั้งแต่สิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 จัดได้ว่า การวางตัวของสหรัฐอเมริกาทั้งที่บ้านและนอกบ้านนั้น มีความต่อเนื่องและสม่ำเสมอ อีกทั้งสหรัฐอเมริกาเป็นผู้ร่วมก่อตั้งองค์การระหว่างประเทศต่างๆ โดยเฉพาะองค์การสหประชาชาติ หรือนัยหนึ่งสหรัฐอเมริกาเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงหลักในการร่วมมือระหว่างประเทศและจัดตั้งระเบียบระบบโลก และใช้เวทีนานาชาติ หรือพหุภาคี (Multilateral Forum) คู่ขนานกับเวทีทวิภาคี ในการดำเนินความสัมพันธ์กับต่างประเทศ
แต่ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา ได้เกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันขึ้นกับนโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯ เมื่อนายโดนัลด์ ทรัมป์ ได้รับเลือกขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี (ค.ศ. 2017- 2020) แล้วเลือกดำเนินนโยบายต่างประเทศในลักษณะทวนกระแส สวนประเพณีปฏิบัติ ด้วยการนำเอานโยบาย“ข้าไปคนเดียว” หรือ “อเมริกาต้องมาก่อน” (America First) มาปฏิบัติอย่างจริงจัง ซึ่งเป็นนโยบายที่เอาประโยชน์ของสหรัฐอเมริกาเป็นตัวตั้งเท่านั้น ไม่แคร์ ไม่เกรงอกเกรงใจไม่ใยดีว่า มิตรประเทศหรือคู่อริจะว่าอย่างไร จึงเป็นยุคที่ สหรัฐฯใช้อำนาจและความต้องการของตัวเองเป็นตัวตั้ง เพื่อให้ผู้อื่นยินยอม โอนอ่อน หรือคล้อยตาม ถ้าไม่ยอม ก็จะเจอการตอบโต้แบบตาต่อตา
ส่วนสถานการณ์ในประเทศ นโยบายอเมริกาต้องมาก่อนได้ไปเสริมสร้างความเป็นชาตินิยมสุดโต่ง หัวรุนแรง การรังเกียจเดียดฉันท์ผู้อื่นที่ไม่เป็นคนผิวขาว และไม่นับถือศาสนาคริสต์ กลายเป็นลิ่มที่ตอกลงบนความร้าวฉานเดิมในสังคมอเมริกัน
นโยบายของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้สร้างทั้งความแตกแยกในสังคมอเมริกายิ่งขึ้น และสร้างความปั่นป่วนในเวทีประชาคมโลก จนคนอเมริกันส่วนใหญ่เกิดความระอาใจและร่วมใจกันปฏิเสธแนวทางนี้ผ่านทางการเลือกตั้งที่ผ่านมาส่งผลให้ โดนัลด์ ทรัมป์ สามารถเป็นประธานาธิบดีได้แค่สมัยเดียว
บัดนี้ ประธานาธิบดี โจ ไบเดน เริ่มเข้ามาบริหารประเทศและเริ่มงานด้วยการยกเลิกคำสั่งเดิมของ ประธานาธิบดีโดนัลด์ทรัมป์ ไปหลายอย่าง ดูแล้ว สหรัฐฯ ภายใต้ ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ก็น่าจะดำเนินการไปในทิศทางเดียวกับประธานาธิบดีคนก่อนๆ
ดังนั้น จึงเป็นที่คาดการณ์กันว่า สหรัฐอเมริกาจะหวนคืนสู่เวทีระหว่างประเทศ และเริ่มกลับมาให้ร่วมมือกับประเทศอื่นๆ ไม่ว่าจะเรื่องโลกร้อน เรื่องการแพร่ขยายของอาวุธนิวเคลียร์ เรื่องสิทธิเสรีภาพและประชาธิปไตย เรื่องการเร่งแก้ไขปัญหาโรคโควิด-19 โดยมีเรื่องปัญหาสังคมภายในสหรัฐอเมริกาที่ต้องค่อยๆ แก้ไขกันไป
การเปลี่ยนแปลงนี้ก็เป็นการปลดแอกจากแนวทางทั้งหมดของ โดนัลด์ ทรัมป์ ใน 4 ปีที่ผ่านมา จาก America First ไปสู่ America with the world ก็ว่าได้
สำหรับประเทศไทยเรา หลังจากนี้ พวกอนุรักษ์นิยม อำนาจนิยม ก็คงจะเริ่มกลับมาไม่พอใจกับท่าทีของสหรัฐฯ ภายใต้การบริหารของ ประธานาธิบดี โจ ไบเดน เพราะจะป่าวร้องให้สังคมไทยเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง
ตรงกันข้ามกับท่าทีของพวกหัวก้าวหน้า โดยถ้าเป็นฝ่ายฝักใฝ่ประชาธิปไตยจริงๆ คงจะไม่มองว่าเป็นการแทรกแซงเพราะเมื่อมีอุดมการณ์เสรีประชาธิปไตยร่วมกัน ก็ร่วมมือกันได้ในขณะที่ฝ่ายแค้นทหารที่อ้างว่ารักประชาธิปไตย ก็จะยิ่งยินดีปรีดากับท่าทีของสหรัฐฯ ต่อความเป็นประชาธิปไตยของไทย เพราะเป็นเรื่องที่นำมาขัดแข้งขัดขารัฐบาลทหารได้
อย่างไรก็ตาม ในฐานะมนุษย์ในสังคมเสรีนิยม ควรได้ตั้งคำถามกับตนเองว่า การที่มิตรประเทศเขาจะห่วงใยว่าคนไทยถูกลิดรอนสิทธิ์หรือไม่นั้นผิดหรือเปล่า?
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี