ก่อนจะถึงวาระที่สามของการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแปรญัตติเป็นรายมาตรา ของรัฐสภาในอีกสองสัปดาห์ ก็มีเหตุแทรกในที่ประชุมรัฐสภาเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ตามญัตติที่เสนอโดย “ไพบูลย์ นิติตะวัน สส.พลังประชารัฐและสมชาย แสวงการ สว.” มีการพิจารณาการส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญให้วินิจฉัยปมหน้าที่และอำนาจของ “รัฐสภา” ต่อการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ด้วยกระบวนการยกร่างใหม่ทั้งฉบับ ด้วยกลไกของ “สภาร่างรัฐธรรมนูญ” ทำได้หรือไม่นั้นที่ประชุมร่วมรัฐสภามีมติเห็นชอบ 366 ต่อ 316 เสียง
โดยแม้กระบวนการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญโดยรัฐสภาขณะนี้ ได้เริ่มต้นไปแล้ว การพิจารณาของคณะกรรมาธิการที่ได้ทำงานไปแล้วก่อนหน้านั้นก็ได้สรุปเรื่องแล้วก็ตาม เหตุใดจึงต้องมาสะดุด เกิดอะไรขึ้นกับกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มีความผิดพลาดขั้นตอนไหนไป ?
ในการอภิปรายของสมาชิกรัฐสภาทั้งสองฝ่ายนั้นเป็นการมองกันคนละด้าน โดยในส่วนซีกผู้เสนอญัตติไปมองที่ รัฐธรรมนูญ 2560 ไม่ได้กำหนดให้รัฐสภามีอำนาจในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ดังนั้น อาจต้องตีความว่าการเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยสภานั้นทำได้หรือไม่ ? จึงต้องส่งตีความ ในขณะที่หากแม้ตีความแล้วบอกทำได้ก็ตาม ฝ่ายค้านก็ยังมองว่าเป็นการดึงเวลาหรือไม่ ?เพราะตามกำหนดการพิจารณาของรัฐสภาเดิม มีการคาดคะเนตารางเวลาว่าจะได้ประชุมในวาระที่สองภายใน 24-25 กุมภาพันธ์ 2564 นี้ และลงมติในวาระที่สาม ภายในเดือนมีนาคม 2564 ซึ่งอาจนำไปสู่การทำประชามติ และเริ่มจัดตั้ง ส.ส.ร. ได้จริงภายในกลางปี 2564
แต่หลังจากการยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความในปัญหาทางกฎหมายว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญเช่นนี้เป็นอำนาจที่รัฐสภาสามารถทำได้หรือไม่ ? เวลาที่เพิ่มขึ้นมาก็จะอยู่ที่การพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ รวมถึงผลที่ไม่มีใครคาดได้แน่นอน
โดยในซีกฝ่ายที่สนับสนุน มองว่า ตามบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญมาตรา 210 ( 2 ) และพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีของศาลรัฐธรรมนูญ มาตรา 41 ( 4 ) ถ้ามีประเด็นปัญหาเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ของรัฐสภาให้รัฐสภามีอำนาจในการส่งเรื่องไปศาลรัฐธรรมนูญเพื่อหาข้อยุติให้ได้
จึงทำให้เกิดการตั้งคำถามว่า ผลของการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งจะมีผลนำไปสู่การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ หมายความว่า ปลายทางสุดท้ายของการแก้ไขรัฐธรรมนูญ จะนำไปสู่การยกเลิกรัฐธรรมนูญ ฉบับ 2560 และเกิดเป็นรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ตามที่ ส.ส.ร. จัดทำขึ้น เช่นนี้ยังถือว่าเป็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือถือว่าเป็นการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และถ้าหากเป็นการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ สภาแห่งนี้มีอำนาจหรือไม่ ? เนื่องจากบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ มาตรา 256 เขียนให้รัฐสภามีอำนาจในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่มิได้ให้อำนาจในเรื่องของการจัดทำหรืออนุมัติให้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ดังนั้นเมื่อมีปัญหาเช่นนี้ ตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญมาตรา 210 ( 2 ) เขียนไว้ชัดเจนถ้ามีประเด็นปัญหา ศาลรัฐธรรมนูญจะเป็นคนวินิจฉัยชี้ขาด ดังนั้น จึงไม่ใช่การก้าวก่ายหน้าที่ของฝ่ายนิติบัญญัติแต่อย่างใด
ในขณะที่มุมมองของฝ่ายที่คัดค้านการส่งตีความ มองว่า รัฐสภาต้องดำรงไว้ซึ่งอำนาจนิติบัญญัติ เพื่อให้เป็นไปตามหลักการแบ่งอำนาจ การแก้ไขรัฐธรรมนูญใน
ครั้งนี้ เป็นอำนาจที่กระทำได้ตามรัฐธรรมนูญ ได้ดำเนินการตามกระบวนการตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด อีกทั้งยังมี กมธ. ศึกษาการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่พิจารณาผ่านมาแล้ว
โดย นายพิธา หัวหน้าพรรคก้าวไกล ที่มองว่าเป็นการแช่แข็งประเทศไทย “หากยังจะใช้สถาบันตุลาการเป็นเครื่องมือเพื่อกินรวบพื้นที่ทางการเมืองทั้งหมด หากยังดื้อดึง ความขัดแย้งทางการเมืองที่ดำรงอยู่ มีแต่จะพาพวกเราไปสู่ทางตัน”
ทั้งนี้หากจะมองในเชิงเทคนิค ฝ่ายค้านก็ยังมองอีกว่า การให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยอำนาจหน้าที่ของรัฐสภา ตามมาตรา 7 (2) พ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 ต้องเป็นอำนาจหน้าที่ “ที่เกิดขึ้นแล้ว” เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นแล้ว
แม้แต่พรรคร่วมรัฐบาลอย่างนายบัญญัติ จากประชาธิปัตย์ก็มองเรื่องนี้คล้ายกันว่า กรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญจะรับวินิจฉัยอำนาจหน้าที่ขององค์กรอื่น ต้องเป็นปัญหาที่มีแล้วจริงๆ ไม่ใช่การคิดเอาเองว่ามีปัญหา ไม่ใช่การขอให้อธิบายบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญ และแม้มีปัญหาเกิดขึ้นแล้วแต่หากองค์กรนั้นใช้อำนาจของตนวินิจฉัยเสร็จแล้ว ก็ไม่ใช่อำนาจหน้าที่ที่ศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยได้
อย่างที่กล่าวไป จริงๆ กระบวนการแก้ไขได้เริ่มไปแล้ว ผ่านกมธ. ซึ่งประเด็นหลักของการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญครั้งนี้ อยู่ที่บทบัญญัติให้มี ส.ส.ร.มาจากตัวแทนประชาชน 200 คน ทำหน้าที่ยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ซึ่งก็ฟังดูน่าสนใจ แต่ประเด็นคือแล้วเกิดอะไรขึ้นถึงทำให้เกิดการยื่นตีความครั้งนี้ ? หรือเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรขึ้น?
รัฐสภามีมติตั้ง คณะกรรมาธิการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม ฉบับที่… พ.ศ. … ในการพิจารณาแก้ไข มาตรา 256 (ขั้นตอน
แก้ไขรัฐธรรมนูญ) และหมวด 15/1 (การจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่)
โดยคณะกรรมาธิการฯ ได้ดำเนินการพิจารณาการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ทั้งการรับฟังความเห็นจากประชาชน และ การรับฟังความเห็นจาก ilaw ในการพิจารณา ซึ่งเป็นโจทย์ที่ได้รับจากสภา
แต่ต่อมาคณะกรรมาธิการฯ ได้เพิ่มการพิจารณาโดยให้มีการตั้ง ส.ส.ร. โดยให้มาจากการเลือกตั้ง ขึ้นโดยใช้เขต สส. เป็นเขตเลือกตั้ง และคณะกรรมาธิการฯ ก็ได้ส่งให้รัฐสภาพิจารณาในส่วนที่ได้พิจารณาไปแล้ว ตลอดจนประเด็นท่ีได้มีการแปรญัตติในคณะกรรมาธิการฯ ซึ่งหมายความรวมไปถึงการตั้ง ส.ส.ร. ด้วย จุดนี้เองที่ถูกเพิ่มเข้ามาจึงอาจเป็นจุดที่ซีกรัฐบาลไม่ได้เตรียมใจไว้ก่อนหรือไม่ ? อย่างไรก็ตาม ก็ยังต้องรอศาลรัฐธรรมนูญพิจารณา โดยหากศาลบอกว่าทำให้สภาก็จะกลับมาพิจารณาต่อ แต่ก็อาจจทำให้เสียเวลาเท่านั้นเอง
อย่างไรก็ตาม ก็ยังมีข้อสังเกตสำคัญ ในการโหวตเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา นั่นคือ พรรคร่วมขนาดกลางอย่างประชาธิปัตย์ ที่มีคนวิจารณ์ว่ามีความขัดแย้งกันในกรณีลงเลือกตั้งซ่อมที่นครศรีธรรมราช? แต่ก็อาจไม่เป็นเช่นนั้นเพราะพรรคภูมิใจไทย ก็โหวตสวนพรรคพลังประชารัฐ และสว.บางส่วนโหวตก็งดออกเสียงเช่นกัน จนเกือบทำให้คะแนนพลิก แต่เพราะมีฝ่ายค้านจำนวนหนึ่งที่อยู่ๆ ก็ขาดประชุมนับสิบคน คะแนนจึงยังชนะอยู่
ดังนั้นเกมส์นี้จะเดินอย่างไรต่อ คงไม่อาจมองแต่เรื่องการแก้รัฐธรรมนูญเท่านั้น แต่อาจต้องดูถึงความเข้มแข็งของรัฐบาลและเสถียรภาพของทั้ง สส. และ สว. ด้วย เพราะปัจจัยหลักที่จะเปลี่ยนแปลงจริงๆ อาจอยู่ตรงนี้ ทั้งนี้การอภิปรายไม่ไว้วางใจที่จะมีขึ้นสัปดาห์หน้า ตลอดจนการเคลื่อนไหวของกลุ่มผู้ชุมนุมต่างๆ ในช่วงนี้ก็ดูจะอ่อนแรงลงและไม่น่าจะมีแรงพอที่จะทำให้เกิดความสั่นคลอนในอำนาจของรัฐบาลในขณะนี้ได้
“คนเรามีแต่ตอนคิดใคร่จะได้ที่สุด จึงหวาดกลัวจะสูญเสียเป็นที่สุด ความรู้สึกที่บัดเดี๋ยวดีบัดเดี๋ยวร้ายเยี่ยงนี้ ก็เป็นจุดอ่อนหนึ่งในจำนวนมากหลายของมนุษย์เรา ที่น่าเศร้าคือ ท่านยิ่งรุ่มร้อนปรารถนาจะได้ ความหวังจะสูญเสียก็ยิ่งมากมาย”
โกวเล้ง จากหนังสือ มังกรเมรัย
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี