ชุดสืบสวนกองปราบฯ สอบสวนเพิ่มเติม พบว่ามีพยานหลักฐานเพียงพอที่จะแจ้งข้อหา นายสกุลธร จึงรุ่งเรืองกิจ (น้องชายของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ) กระทำผิดในคดีให้สินบน 20 ล้านบาท เพื่อจะได้เข้าบริหารที่ดินของสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ มูลค่ากว่าหมื่นล้านบาทจึงได้ออกหมายเรียกนายสกุลธรให้เข้ามารับทราบข้อกล่าวหาแล้ว
1.เมื่อวันที่ 11 ก.พ. 2564 นายสกุลธรเดินทางเข้าพบตำรวจกองบังคับการปราบปราม (บก.ป) ตามหมายเรียกเพื่อรับทราบข้อกล่าวหา ตามประมวลกฎหมายอาญา ม.144ผู้ใดให้ ขอให้หรือรับว่าจะให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดแก่เจ้าพนักงาน...
หลังเสร็จสิ้นการเข้ารับทราบข้อกล่าวหา และให้ปากคำนานกว่า 5 ชั่วโมง
นายสกุลธรเปิดเผยกับสื่อมวลชนสั้นๆ ว่า ไม่มีอะไรที่จะชี้แจงถึงเรื่องนี้เป็นพิเศษ และคิดว่าได้ทำในสิ่งที่ถูกต้องคือ การช่วยเหลือราชการ และไม่ได้เกี่ยวข้องกับเจ้าหน้าที่ 2 คนที่ถูกศาลตัดสินคดีไปก่อนหน้านี้ ส่วนจุดประสงค์ของการซื้อที่ดินดังกล่าวคืออะไร และเหตุใดจึงไม่แจ้งความกลับนั้น ในส่วนนี้ได้ชี้แจงพนักงานสอบสวนไปแล้ว ซึ่งเป็นรายละเอียดในสำนวน ไม่ขอเปิดเผย
ผู้ถูกกล่าวหา ยังถือเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่
2.พ.ต.อ.สัณห์เพ็ชร หนูทอง ผกก.กลุ่มงานสอบสวน บก.ป. กล่าวว่า นายสกุลธรให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา ส่วนรายละเอียดคำให้การต่างๆ อยู่ในสำนวน ไม่สามารถเปิดเผยได้ ทั้งนี้ เจ้าตัวจะขอยื่นหนังสือคำให้การอีกครั้งภายใน 30 วัน
3. คดีนี้ ไม่ใช่การรื้อคดีขึ้นใหม่ เหมือนที่สื่อบางสำนักกล่าวอ้าง
เพราะคดีนี้มีการสอบสวนอยู่ตั้งแต่ต้น ไม่ได้จบไปแล้ว ไม่เคยมีคำสั่งไม่ฟ้อง
คดีนี้ กองปราบฯได้แยกดำเนินคดีเป็นสองคดีมาตั้งแต่ต้น แบ่งเป็น 1. คดีผู้ให้สินบน กับ 2. คดีตัวกลางเรียกรับสินบน ซึ่งก่อนหน้านี้ ได้ส่งสำนวนมีความเห็นควรสั่งฟ้องผู้ต้องหาสองคนที่เป็นตัวกลางในคดีเรียกรับสินบนไปก่อนแล้ว ส่วนคดีผู้ให้สินบนที่มีการพาดพิงถึงนายสกุลธรนั้น ยังอยู่ระหว่างการรวบรวมพยานหลักฐาน ตรวจสอบเส้นทางการเงิน และสอบปากคำพยานบุคคลต่างๆที่เกี่ยวข้อง ยังไม่ได้มีการส่งสำนวนให้กับทางอัยการพิจารณาแต่อย่างใด
4.หลายคนงงๆ ว่า ทำไมนายสกุลธรอ้างว่า ตนได้ทำในสิ่งที่ถูกต้อง คือ การช่วยเหลือราชการ
การพูดเช่นนี้ อาจสะท้อนแนวทางการสู้คดีของเขา คือ น่าจะสู้ในทำนองว่าตนเองไม่รู้เห็นไม่เกี่ยวข้องกับคนที่ถูกจำคุกไปแล้วทั้งสองคน ตนเองเป็นผู้เสียหาย และได้ช่วยราชการด้วยการให้ความร่วมมือในการดำเนินคดีกับสองคนนั้นในคดีปลอมแปลงเอกสารราชการ
แต่ในความเป็นจริง ก็ไม่ปรากฏว่า นายสกุลธรได้ช่วยราชการอย่างไร เพราะในคดีที่ศาลปราบโกงพิพากษาไปแล้วนั้น ผู้เสียหายคือสำนักงานทรัพย์สินฯ ซึ่งมอบอำนาจให้ นายอิศรา จารุวณิชกุล ไปแจ้งความดำเนินคดี
ตรงกันข้าม ไม่ปรากฏว่า นายสกุลธรได้ดำเนินคดีอาญาและเรียกค่าเสียหายกับจำเลยในคดีเรียกรับสินบนทั้งสองคนนั้น ทั้งๆ ที่ อ้างว่าตนเองเสียหาย ถูกหลอกลวง และต้องเสียเงิน เสียเวลา เสียทรัพยากรไปวางแผนพัฒนาโครงการมูลค่าหมื่นล้าน
5. ยิ่งกว่านั้น พยานหลักฐานและข้อเท็จจริงที่พนักงานสอบสวนพบ และตามรายงานการสอบสวนของพนักงานสอบสวนที่ส่งให้อัยการก็ไม่ได้เป็นเช่นนั้น เพราะต่างชี้ชัดว่านายสกุลธรไม่ใช่ผู้เสียหาย
นายอิทธิพร แก้วทิพย์ โฆษกอัยการสูงสุดแถลงข่าวก่อนหน้านี้ ชี้แจงว่า จากการตรวจสอบสำนวน ในช่วงต้นปี 2560 ผู้ต้องหารายที่ 2 (นายสุรกิจ) ซึ่งเป็นนายหน้าค้าที่ดินขณะนั้น ได้ไปพบกับนายสกุลธร และมีการนำที่ดินไปเสนอให้เช่าทั้ง 2 แปลง ซึ่งที่ดินทั้ง 2 แปลงนั้น เป็นที่ดินของสำนักงานทรัพย์สินฯ โดยที่ดินทั้ง 2 แปลง ประกอบด้วย ที่ดินซอยร่วมฤดีแปลงหนึ่ง และอีกแปลงหนึ่งเป็นที่ตั้ง องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยที่บริเวณชิดลม
นายสกุลธรได้ให้ความสนใจในที่ดินดังกล่าว และหลังจากมีการตรวจสอบข้อมูลว่ามีที่ดินอยู่จริง นายสกุลธรได้ติดต่อประสานงานและทำสัญญาว่าจ้างผู้ต้องหาที่ 2 เพื่ออำนวยความสะดวกและประสานงานให้บริษัทเรียลแอสเสทดีเวลลอปเม้นท์ จํากัด มีสิทธิในการเช่าที่ดินโดยมีค่าตอบแทนทั้งสิ้น 500 ล้านบาท ซึ่งหลังจากมีการทำสัญญาก็ปรากฏว่าทางผู้ต้องหาที่ 2 และเจ้าหน้าที่สำนักงานทรัพย์สินฯ ได้แนะนำให้นายสกุลธรเข้าไปยื่นหนังสือขอเช่าที่ดินตามช่องทางปกติของสำนักงานทรัพย์สินฯ ในเวลานั้นหลังจากที่ยื่นแล้ว ก็มีการจ่ายเงินในงวดแรกประมาณ 5 ล้านบาท เพื่อเป็นการดำเนินการในเรื่องนี้ โดยผู้ต้องหาที่ 2ได้ให้การว่าเป็นการล็อกผู้ใหญ่
พอมาถึงเมื่อเดือน มี.ค. 2560 ผู้ต้องหาที่ 1(นายประสิทธิ์) ซึ่งเป็น เจ้าหน้าที่สำนักงานทรัพย์สินฯ ก็ได้ปลอมแปลงหนังสือสำนักงานทรัพย์สินฯ มอบให้กับผู้ต้องหาที่ 2 ซึ่งเป็นนายหน้า นำไปให้มอบยังนายสกุลธรต่อไป โดยรายละเอียดในเอกสารนั้นระบุว่าบริษัทเรียลแอสเสทฯ ผ่านคุณสมบัติ ในการตรวจสอบว่าจะเป็นผู้เช่าที่ดินเรียบร้อยแล้ว ซึ่งหลังจากที่มีการนำหนังสือฉบับนี้ไปมอบให้กับนายสกุลธร นายสกุลธรก็มีการจ่ายเงินกลับมาให้อีก 5 ล้านบาท
แต่พอมาถึงช่วงเดือน พ.ย. 2560 ก็ยังไม่ปรากฏว่าบริษัทเรียลแอสเสทฯ ได้รับสิทธิ์ในการเป็นผู้ให้เช่าที่ดินทั้งตรงซอยร่วมฤดีและตรงชิดลม ดังนั้น จึงมีการนัดให้ตัวผู้ต้องหาที่ 2 ไปดำเนินการต่อไป ทางผู้ต้องหาที่ 2 จึงได้มีการร่วมกับผู้ต้องหาที่ 1 ปลอมเอกสารราชการอีกฉบับหนึ่ง เป็นหนังสือในสำนักงานทรัพย์สินฯ เชิญบริษัทนี้ไปประชุม ซึ่งหลังจากที่ได้รับหนังสือเชิญประชุมนี้แล้ว นายสกุลธรก็ได้มีการจ่ายเงินไปให้กับตัวผู้ต้องหาที่ 2 อีกจำนวน 10 ล้านบาท ซึ่งรวม 3 ครั้ง ก็จะคิดเป็นเงินทั้งสิ้น 20 ล้านบาทและผู้ต้องหาทั้ง 2 ก็เอาเงินไปแบ่งกัน
พอมาถึงวันประชุม ก็มีการยกเลิกการประชุม นายสกุลธรจึงได้มีการทวงถามเอาเงินคืน ซึ่งจากการสอบสวนก็ได้ความว่ามีการคืนเงินให้นายสกุลธรไปแล้วประมาณ 7 ล้านบาท
หลังจากนั้น ก็ปรากฏว่าทางสำนักงานทรัพย์สินฯทราบเรื่อง ก็เลยมอบอำนาจให้นายอิศรา จารุวณิชกุลไปแจ้งความ ซึ่งทางกองปราบฯก็สามารถจับกุมผู้ต้องหาที่ 1 และ 2 ได้ และก็มีการดำเนินการสอบสวนมาทั้งหมด การสอบสวนนั้นก็เสร็จสิ้นและก็ส่งมาถึงพนักงานอัยการในเดือนเมษายน 2562 โดยมีผู้ต้องหาจำนวน 2 คน
โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด ระบุว่า ในส่วนท้ายของรายงานการสอบสวนของพนักงานสอบสวน ทางพนักงานสอบสวนได้ขมวดข้อเท็จจริงเอาไว้ว่า ในส่วนของนายสกุลธร ผู้ให้เงินแก่ผู้ต้องหาที่ 1 และที่ 2 โดยมีเจตนาให้นำไปให้เจ้าพนักงานเพื่อจูงใจให้กระทำความผิดต่อหน้าที่ ช่วยเหลือบริษัทเรียลแอสเสท ดีเวลลอปเม้นท์จํากัด ให้ได้สิทธิ์การเช่าที่ดินของสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ โดยไม่ผ่านการพิจารณาตามขั้นตอนปกติ จึงเข้าลักษณะเป็นการใช้ให้ผู้ต้องหาที่ 2 ไปกระทำความผิดนายสกุลธรจึงไม่ใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัย
6.น่าเสียดาย... ก่อนหน้านี้ นายสกุลธรได้ออกเอกสารข่าวชี้แจง แต่จนถึงวันนี้ก็ยังไม่ได้ยืนยันคำชี้แจงนั้นต่อพนักงานสอบสวน แต่ขอให้การเพิ่มเติมภายใน 30 วัน
เมื่อวันที่ 21 ม.ค. 2564 นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ (ผู้ถือหุ้นใหญ่ลำดับที่สองในบริษัทอสังหาฯ ดังกล่าว รองจากแม่สมพร) เมื่อถูกถามกรณีคดีติดสินบน 20 ล้านของน้องชาย ก็ได้แต่บอกปัด อ้างว่าน้องชายตนได้ชี้แจงเป็นเอกสารแล้ว สามารถติดตามได้ อ้างว่าเป็นความจงใจของรัฐบาลที่มาจากการสืบทอดอำนาจ พยายามกดดันตนให้หยุดการเคลื่อนไหวทางการเมือง โดยไม่เปิดโอกาสให้สื่อซักถามต่อในประเด็นข้อสงสัย
น่าผิดหวัง... เรื่องนี้ประเด็นพาดพิงว่ามีการนำเงินของบริษัท หรืออ้างชื่อบริษัทไปเกี่ยวข้องกับการจ่ายเงินสินบน 20 ล้าน เพื่อหวังได้สิทธิบริหารที่ดินของสำนักงานทรัพย์สินฯ โดยไม่ต้องประมูลแข่งขันหรือไม่ โดยผู้จะได้รับผลประโยชน์โดยตรงก็คือผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทนั่นเอง ทั้งนายธนาธรและนางสมพร ในฐานะผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ควรต้องชี้แจงด้วยตนเอง แต่ก็ไม่ดำเนินการจนถึงปัจจุบัน
7.นายวัชระ เพชรทอง อดีตสส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ แถลงว่า ตนได้เข้าให้ข้อมูลต่อคณะกรรมาธิการการกฎหมายฯ สภาผู้แทนราษฎร ระบุถึงเช็คที่มีการสั่งจ่ายให้จำเลยในคดีรับสินบน ได้แก่
เช็คใบแรก ลงวันที่ 6 มี.ค.2560สั่งจ่ายในนามบริษัท จากธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาเพชรบุรีตัดใหม่ เลขที่ 04-3304-4665 สั่งจ่ายไปถึงนายสุรกิจ ตั้งวิทูวนิช จำเลยในคดี จำนวน 5 ล้านบาท
เช็คใบที่สอง เมื่อวันที่ 27 ก.ย. 2560 จากธนาคารกรุงเทพ ในนามนายสกุลธร จำนวน 5 ล้านบาท ไปถึงจำเลย
และเช็คใบที่สาม สั่งจ่ายในนามนายสกุลธร จากธนาคารกรุงเทพ เมื่อวันที่ 21 ธ.ค. 2560 จำนวน 10 ล้านบาท ถึงจำเลยในคดี
รวมเช็ค 3 ฉบับ จำนวนเงิน 20 ล้านบาท
หากมีการจ่ายเช็คบริษัทฯจริง กรรมการผู้มีอำนาจ ผู้ต้องรับผิดชอบในส่วนของบริษัท จะต้องถูกสอบสวนเพิ่มเติม หรือแจ้งข้อหาเพิ่มเติมต่อไปด้วย หรือไม่?
เหตุใดนายสกุลธรและคนในครอบครัวที่เป็นเจ้าของ และบางคนเป็นกรรมการบริษัทในขณะนั้นจึงไม่นำข้อมูลหลักฐานข้อเท็จจริงที่ไม่สามารถจัดทำย้อนหลังได้ ออกมาชี้แจงต่อสาธารณชนให้กระจ่างชัดเสีย
8. สุดท้าย ในคำพิพากษาคดีเรียกรับสินบน ระบุถึงนายสกุลธรบางตอน ระบุว่า
นายสกุลธร “... ได้จ่ายเงินงวดที่สอง จำนวน 5,000,000 บาท (ห้าล้านบาทถ้วน) และงวดที่สามอีกจำนวน 10,000,000 บาท (สิบล้านบาทถ้วน) รวม 3 งวดจำนวนเงินรวมทั้งสิ้น 20,000,000 บาท (ยี่สิบล้านบาทถ้วน) ให้แก่จำเลยทั้งสองรับไว้สำหรับตนเองเพื่อเป็นการตอบแทนในการที่จำเลยทั้งสองจะร่วมกันไปดำเนินการติดต่อประสานงานและนำเงินส่วนหนึ่งไปมอบให้รอง ผอ.สำนักงานทรัพย์สินฯ ซึ่งเป็นเจ้าพนักงาน เจ้าหน้าที่ของรัฐ เจ้าพนักงานของรัฐตามกฎหมายโดยวิธีอันทุจริตและผิดกฎหมาย เพื่อจูงใจรอง ผอ.ฯ ให้กระทำการในหน้าที่ด้วยการจัดสรรที่ดินบริเวณองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย (ชิดลม) ซึ่งเป็นทรัพย์สินของสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ให้บริษัท เรียลแอสเสท ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด ได้สิทธิการเช่าที่ดินระยะยาว โดยไม่ต้องผ่านการประมูลแข่งขันตามขั้นตอนปกติของการขอเช่าที่ดินของสำนักงานทรัพย์สินฯ อันเป็นคุณแก่ บริษัทฯ และทำให้สำนักงานทรัพย์สินฯ เสียประโยชน์ที่จะได้รับเงินจากการประมูลที่สูงที่สุด ในประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่สำนักงานทรัพย์สินฯ ผู้อื่นและประชาชน...”
9. ที่ดินแปลงที่ว่า เป็นที่ดินแปลงทองคำ(ตามแผนที่) มูลค่าน่าจะนับหมื่นล้านบาท บริษัทธุรกิจทั้งหลายล้วนแสดงท่าทีสนใจจะแข่งขันพัฒนาโครงการมูลค่าหลายหมื่นล้านบาทในย่านทำเลทองทั้งนั้น
ส่วนคดีใช้ให้สินบน 20 ล้าน ใครจะถูก-ผิด คดีนี้ก็ต้องว่าไปตามกระบวนการยุติธรรม ซึ่งจะต้องยึดถือต่อสู้กันด้วยพยานหลักฐาน
หากนายสกุลธร และครอบครัว ชี้แจงแสดงพยานหลักฐานสำคัญในเรื่องนี้ จะนำมารายงานต่อไป
สันติสุข มะโรงศรี
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี