เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564 กองทัพพม่าภายใต้การนำของนายพล มิน อ่อง หล่าย ได้เข้ายึดอำนาจการปกครองประเทศเมียนมา โดยอ้างเหตุผลว่า การเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ 6พฤศจิกายน 2564 ที่พรรคสันนิบาตเพื่อประชาธิปไตยแห่งชาติ(National League for Democracy - NLD) ภายใต้การนำพาของวีรสตรี หรือ “มารดา” แห่งชาติ ออง ซาน ซู จีชนะพรรคของฝ่ายกองทัพ (พรรคสหสามัคคีและการพัฒนา - Union Solidarity and Development Party - USDP) อย่างขาดลอยนั้นเต็มไปด้วยความมิชอบต่างๆ นานาหรือพูดง่ายๆ คือมีการโกงการเลือกตั้ง
ข้ออ้างของแม่ทัพนายกองพม่าดังกล่าว แม้แต่เด็กอมมือได้ยินได้ฟังก็ยังต้องหัวเราะก๊าก เพราะมันเป็นข้ออ้างที่น่าสมเพชเสียเหลือเกิน
คำชี้แจงจากเพื่อนๆ ชาวพม่าบอกกันมาว่า ที่นายพล มินอ่อง หล่าย ตัดสินใจนำทัพยึดอำนาจ นั่นก็เพราะไม่พอใจที่ฝ่ายรัฐบาลนางออง ซาน ซู จี ปฏิเสธ 2 คำขอของ นายพล มิน อ่อง หล่าย นั่นคือ
1. ขอต่ออายุราชการตนเองไปอีก 5 ปี (เนื่องจากจะครบเกษียณอายุ 65 ปี ในปีนี้)
2. พร้อมกันนั้นก็ขอดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีในรัฐบาลใหม่ที่กำลังจะตั้งขึ้นหลังการเลือกตั้งทั่วไปดังกล่าว
เมื่อคำขอทั้งสองถูกคณะรัฐบาลของ นางออง ซาน ซู จีปฏิเสธกันอย่างดื้อๆ นายพล มิน อ่อง หล่าย ก็เลยประกาศยึดอำนาจเสียดื้อๆ เช่นกัน ซึ่งเป็นการหักกันซึ่งๆ หน้า ต่อหน้าชาวพม่าและชาวโลกทั้งปวง
หากเป็นไปตามนี้ ก็คงกล่าวได้ว่า นายพล มิน อ่อง หล่ายนั้นถูกความไม่ได้ดังใจ ความโลภในอำนาจ ความทะเยอทะยานมักใหญ่ใฝ่สูง เข้าครอบงำ จนไม่เกรงกลัวว่าจะถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์โลกว่า เป็นผู้ทำลายประชาธิปไตย ลิดรอนสิทธิเสรีภาพของชาวพม่า รวมทั้งสร้างความแตกแยกให้กับสังคมพม่า
แต่หากคำบอกเล่าดังกล่าวคลาดเคลื่อน ก็พอจะประเมินประมัยการยึดอำนาจของกองทัพพม่าได้ว่า
1. ฝ่ายกองทัพพม่าหมดความเชื่อถือในระบบระบอบประชาธิปไตย
2. ฝ่ายกองทัพเห็นว่า นางออง ซาน ซู จี นั้น ไร้ฝีมือไร้น้ำยา ไร้กึ๋น ปล่อยให้อยู่บริหารต่อไปก็เสียข้าวสุก นอกจากนั้นยังน่ารำคาญหู รำคาญตา รำคาญใจ
3. ฝ่ายทหารเห็นว่าตนเองมีความสามารถในการบริหารประเทศได้ดีกว่าและมีประสบการณ์ถึง 50 กว่าปี
5. นอกจากนั้น ฝ่ายกองทัพก็คิดว่าเมื่อได้บริหารประเทศอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย ก็จะได้จัดการกับชนกลุ่มน้อย รวมทั้งชาวมุสลิมโรฮีนจา ได้อย่างเต็มที่
6. ฝ่ายกองทัพประเมินแล้วก็เชื่อว่า ประเทศสมาชิกสมาคมอาเซียนอีก 9 ประเทศ ก็คงไม่มีปฏิกิริยาในเชิงลบต่อฝ่ายตน (เพราะส่วนใหญ่ก็เป็นพวกอำนาจนิยมด้วยเช่นกัน)
7. ฝ่ายกองทัพนั้นเชื่อว่าพม่าสามารถอยู่โดดเดี่ยว เป็นประเทศแบบปิดได้โดยไม่สะทกสะท้านกับการระงับความสัมพันธ์และการคว่ำบาตรจากชาวโลกได้ เนื่องจากพม่าเองมีทรัพยากรมากมาย มีอาหารสมบูรณ์ และอยู่กันแบบง่ายๆ ได้
8. ฝ่ายกองทัพประเมินว่า ยังไงๆ พี่จีนก็คงไม่รังเกียจ และคงจะช่วยเหลือเกื้อกูลอยู่บ้าง เพราะพม่ามีสิ่งให้แลกคือ เส้นทางให้จีนลงสู่อ่าวเบงกอลในมหาสมุทรอินเดีย ซึ่งจะเป็นช่องทางให้ “ตีใต้พุง” อินเดีย และแหวกวงล้อมปิดกั้นของฝ่ายสหรัฐอเมริกา และประเทศพันธมิตรได้
ทั้งหมดที่กล่าวมาก็คงเป็นปูมหลังความคิดอ่านและการตัดสินใจยึดอำนาจของฝ่ายกองทัพพม่า
แต่ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ฝ่ายกองทัพพม่ากล้ายึดอำนาจอย่างโจ่งแจ้ง ก็คือการได้เห็นแล้วว่านางออง ซาน ซู จี นั้นไม่มีความกล้าหาญทางการเมืองแต่อย่างใด ทั้งๆ ที่ตนเองมีอำนาจ มีตำแหน่งหน้าที่ และมีคะแนนเสียงประชาชนสนับสนุนอย่างท่วมท้นแถมยังมีแรงใจจากประชาคมโลกอย่างกว้างขวาง ที่ผ่านมาสี่ห้าปีนางออง ซาน ซู จี เอาแต่นั่งทับตำแหน่งมาโดยตลอด และยังดูโอนอ่อนยำเกรงฝ่ายกองทัพ แทนที่จะดำเนินการในเรื่อง
1. ไม่กล้าที่จะขยับเขยื้อนในเรื่องการแก้ไขกฎหมายรัฐธรรมนูญพม่าให้เป็นประชาธิปไตย และเอาทหารออกจากการเมือง
2. ไม่ได้เร่งเจรจาการยุติการสู้รบระหว่างรัฐบาลกลางกับชนกลุ่มน้อย การวางอาวุธ การเจรจาสันติภาพ และการร่วมกันสร้างรัฐชาติ
3.เพิกเฉยต่อการที่กองทัพพม่าปฏิบัติต่อกลุ่มชนชาวโรฮีนจามุสลิมอย่างละเมิดศีลธรรม และหลักมนุษยธรรม
เมื่อนางออง ซาน ซู จี แสดงให้เห็นความอ่อนแอดังกล่าว ฝ่ายกองทัพก็เลยได้ใจ กล้าที่จะใช้ข้ออ้างเลื่อนลอย (อย่างการเลือกตั้งไม่ซื่อสัตย์สุจริต) มาเป็นข้ออ้างในการยึดอำนาจ เพราะที่จริงแล้วถ้าการเลือกตั้งมีความไม่ถูกต้อง ก็เป็นเรื่องของคณะกรรมการการเลือกตั้ง และกระบวนการยุติธรรม ซึ่งการปฏิวัติรัฐประหารก็เป็นการปฏิเสธขั้นตอนทางกฎหมาย เป็นการกระทำที่ขัดต่อกฎหมายรัฐธรรมนูญ เป็นการกระทำโดยพลการ ที่ไม่ถูกต้องไม่ชอบธรรม
ในการที่จะเอาประชาธิปไตยกลับคืนมาสู่พม่า ก็ต้องเป็นเรื่องของชาวพม่าเป็นหลัก โดยชาวอาเซียนในอีก 9 ประเทศกว่า 550 ล้านคน จะต้องเป็นกำลังใจช่วยเหลือชาวพม่ากันให้มากที่สุด เพราะสิทธิภาพนั้นเป็นสมบัติของทุกคน ประชาธิปไตยอำนวยให้ทุกคนมีส่วนร่วม ในขณะเดียวกันประชาคมโลกก็สามารถที่จะร่วมมือช่วยเหลือความเป็นประชาธิปไตยของพม่าได้ โดยการปฏิเสธรัฐบาลทหาร ตัดการร่วมมือทางทหาร ยุติการขายอาวุธยุทโธปกรณ์ และทำการคว่ำบาตรฝ่ายกองทัพ เครือข่าย และผู้สนับสนุน
ในขณะเดียวกันก็ต้องหาทางช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมต่างๆ แก่ประชาชนชาวพม่า โดยประเทศไทยในฐานะเพื่อนบ้านก็คงหนีไม่พ้นที่จะต้องเปิดบ้านให้ชาวพม่าที่ถูกปราบปรามของฝ่ายกองทัพ อพยพมาพักพิงเป็นการชั่วคราว ซึ่งหากจะอยู่ในสถานะแรงงานต่างชาติ ก็ต้องจัดให้มีการขึ้นทะเบียน อาศัยอย่างถูกกฎหมายและตามหลักมนุษยธรรม โดยคำนึงว่าแรงงานพม่าเป็นที่ต้องการของไทย เพราะไทยขาดแคลนแรงงาน แรงงานพม่าจึงเป็นประโยชน์และไม่ใช่เป็นภาระต่อสังคมไทย
ส่วนทางด้านชายแดน รัฐบาลไทยก็ต้องมีการเตรียมการจัดการศูนย์พักพิงผู้อพยพให้เป็นระเบียบเรียบร้อย และถูกสุขลักษณะ ซึ่งค่าใช้จ่ายต่างๆ รัฐบาลไทยควรได้ขอความร่วมมือจากองค์กรระหว่างประเทศล่วงหน้า ไม่ว่าจะเป็น UNSCR กาชาดสากล และประเทศร่ำรวยต่างๆ ก็ขอให้ลงขันงบประมาณส่วนนี้ เนื่องจากปัญหาผู้อพยพชาวพม่านั้นเป็นปัญหาทางด้านมนุษยธรรม ซึ่งเป็นปัญหาระดับโลก (ไม่ได้เป็นเพียงปัญหาของไทย หรืออาเซียน) ชาวโลกจึงควรร่วมกันช่วยเหลือชาวพม่าเหล่านี้ไปด้วยกัน
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี