แม้นักการเมืองและแนวร่วมฝ่ายที่อยากจะล้มรัฐบาล จะพยายามเขย่าขวัญผู้คนด้วยการโหมกระพือปัญหาเศรษฐกิจในทำนองว่า ปีที่แล้วเผาหลอก ปีนี้เผาจริง
รัฐบาลก็ยอมรับว่าเศรษฐกิจขณะนี้มีปัญหาจริง และมีปัญหากันทั่วโลก
แต่ “ข้อมูลเศรษฐกิจมหภาค” ล่าสุด ชี้ชัด เศรษฐกิจไทยได้ผ่านจุดที่ต่ำสุดไปแล้ว
กำลังค่อยๆ ฟื้นคืนกลับมาด้วยซ้ำ
ข้อมูลต่อไปนี้ มีแหล่งที่มาจากสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้รายงานภาวะเศรษฐกิจไตรมาสสุดท้ายของปี 2563 ต่อที่ประชุม ครม. เมื่อวันที่ 15 ก.พ.ที่ผ่านมา ขอนำมาสรุปชัดๆ ดังนี้
1. เศรษฐกิจไทยผ่านจุดวูบดับไปแล้ว
ภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่สี่ของปี 2563 ยังลดลงร้อยละ 4.2
แต่ยังนับว่าเป็นการปรับตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับการลดลงร้อยละ 6.4 ในไตรมาสที่สาม (%YoY)
และเมื่อปรับผลของฤดูกาลออกแล้ว เศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่สี่ของปี 2563 ขยายตัวจากไตรมาสที่สามของปี 2563 ร้อยละ 1.3 (QoQ_SA)
รวมทั้งปี 2563 เศรษฐกิจไทยปรับตัวลดลงร้อยละ 6.1
2. การใช้จ่าย การอุปโภคบริโภคภาคเอกชนกลับมาขยายตัว
การอุปโภคบริโภคภาคเอกชน ขยายตัวร้อยละ 0.9 (เป็นการปรับตัวดีขึ้นจากการลดลงร้อยละ 6.7 และร้อยละ 0.6 ในไตรมาสที่สองและที่สาม ตามลำดับ) ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ โดยการใช้จ่ายในหมวดบริการเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.5 ตามการเพิ่มขึ้นของการใช้จ่ายในกลุ่มบริการสุขภาพ และกลุ่มบริการด้านการศึกษา (ร้อยละ 4.9 และร้อยละ 1.7 ตามลำดับ)
การปรับตัวดีขึ้นของการบริโภคภาคเอกชนในไตรมาสนี้ สอดคล้องกับการเพิ่มขึ้นของความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจโดยรวม ซึ่งอยู่ที่ระดับ 44.3 เทียบกับ 43.0 ในไตรมาสก่อนหน้า
3. ต้องเหยียบคันเร่งการลงทุนของรัฐวิสาหกิจ
แม้อัตราการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายแผ่นดินรวมในไตรมาสนี้ อยู่ที่ร้อยละ 28.6 (สูงกว่าร้อยละ 22.8 ในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน) ก็จริง
การลงทุนภาคเอกชน ก็ลดลงแค่ร้อยละ 3.3 นับเป็นการปรับตัวดีขึ้นจากการลดลงร้อยละ 10.6 ในไตรมาสก่อนหน้า
แต่การลงทุนภาครัฐขยายตัวร้อยละ 0.6 ชะลอลงจากการขยายตัวร้อยละ 17.6 ในไตรมาสก่อนหน้า
นั่นทำให้การลงทุนรวม ลดลงร้อยละ 2.5 (ต่อเนื่องจากการลดลงร้อยละ 2.6 ในไตรมาสที่สาม)
เมื่อผ่าเข้าไปดูในการลงทุนของรัฐ พบว่า การลงทุนรัฐบาลขยายตัวร้อยละ 20.0 ขณะที่การลงทุนรัฐวิสาหกิจลดลงร้อยละ 21.8
เพราะฉะนั้น ชัดเจนว่า รัฐบาลต้องเร่งจี้ไปที่การลงทุนของรัฐวิสาหกิจจะทำให้การลงทุน การจ้างงาน โดยรวม ดีขึ้นทันที เสริมกับการลงทุนของเอกชนที่ปรับตัวดีขึ้นแล้ว
4. การส่งออกสินค้า มีมูลค่า 58,095 ล้านดอลลาร์ สรอ. ลดลงแค่ร้อยละ 1.5
เป็นการปรับตัวดีขึ้นจากการลดลงร้อยละ 8.2 ในไตรมาสก่อนหน้า
5. ในไตรมาสสุดท้ายของปี 2563 การผลิตสาขาเกษตรกรรมกลับมาขยายตัว
สาขาเกษตรกรรม การป่าไม้ และการประมง กลับมาขยายตัวครั้งแรกในรอบ 5 ไตรมาส ร้อยละ 0.9 ปรับตัวดีขึ้นจากการลดลงร้อยละ 1.1 ในไตรมาสก่อนหน้า
สอดคล้องกับการเพิ่มขึ้นของผลผลิตหมวดพืชผลสำคัญที่ได้รับปัจจัยสนับสนุนจากสภาพอากาศที่เอื้ออำนวย และปริมาณน้ำที่เพียงพอต่อการเพาะปลูก เช่น ข้าวเปลือก (ร้อยละ 5.9) ไก่เนื้อ (ร้อยละ 6.7) และไข่ไก่ (ร้อยละ 13.6) เป็นต้น
สินค้าสำคัญที่ราคาเพิ่มขึ้น ได้แก่ ยางพารา (ร้อยละ 50.2) ปาล์มน้ำมัน (ร้อยละ 71.4) และสุกร (ร้อยละ 22.9) เป็นต้น
6. ใช้กำลังผลิตมากขึ้น
ผลผลิตอุตสาหกรรมสำคัญ ๆ ที่เพิ่มขึ้น เช่น การผลิตยานยนต์ (ร้อยละ 3.7) การผลิตชิ้นส่วนและแผ่นวงจรอิเล็กทรอนิกส์ (ร้อยละ 6.8) และการผลิตมอเตอร์ไฟฟ้า เครื่องกำเนิดไฟฟ้า (ร้อยละ 32.5) เป็นต้น
สำหรับอัตราการใช้กำลังการผลิตเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 64.22 เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 60.63 ในไตรมาสก่อนหน้า และเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 63.33 ในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน
7. ธุรกิจท่องเที่ยว โรงแรม ยังแย่ แต่มีแนวโน้มดีขึ้น
สาขาที่พักแรมและบริการด้านอาหาร ลดลงร้อยละ 35.2 ตามการลดลงของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศ แต่ปรับตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับการลดลงร้อยละ 39.3 ในไตรมาสก่อนหน้า
สอดคล้องกับการปรับตัวดีขึ้นของการท่องเที่ยวภายในประเทศ โดยในไตรมาสนี้มีรายรับจากนักท่องเที่ยวชาวไทยอยู่ที่ 0.159 ล้านล้านบาท ลดลงร้อยละ 45.1 แต่เป็นการปรับตัวดีขึ้นจากการลดลงร้อยละ 57.1 ในไตรมาสก่อนหน้า
นอกจากนั้น การดำเนินมาตรการเปิดประเทศสำหรับนักท่องเที่ยวประเภทพิเศษ (Special Tourist VISA : STV) ส่งผลให้ในไตรมาสนี้มีนักท่องเที่ยวต่างประเทศเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยเป็นครั้งแรกในรอบ 3 ไตรมาส 10,822 คน (รวมนักท่องเที่ยวกลุ่ม Thailand Privilege Card)
อัตราการเข้าพักเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 32.49 เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 26.69 ในไตรมาสก่อนหน้าแต่ต่ำกว่าร้อยละ 70.71 ในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน
8. อัตราการว่างงานลดลง
อัตราการว่างงานอยู่ที่ร้อยละ 1.86 เป็นการลดลงเล็กน้อยจากร้อยละ 1.90 ในไตรมาสก่อนหน้า
เพียงแต่สูงกว่าอัตราการว่างงานร้อยละ 1.0 ในช่วงเดียวกันของปี 2562 (ก่อนโควิด)
9. พื้นฐานยังแกร่ง
ดุลบัญชีเดินสะพัดตลอดทั้งปี 2563 เกินดุลร้อยละ 3.3 ของ GDP
เงินทุนสำรองระหว่างประเทศ ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2563 อยู่ที่ 2.56 แสนล้านดอลลาร์ สรอ.
หนี้สาธารณะ ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2563 มีมูลค่าทั้งสิ้น 8,136,114.6 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 52.1 ของ GDP
10. แนวโน้มเศรษฐกิจไทย ปี 2564
เศรษฐกิจไทยปี 2564 คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 2.5 – 3.5
ปัจจัยสนับสนุนสำคัญ ประกอบด้วย (1) แนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและปริมาณการค้าโลก (2) แรงขับเคลื่อนจากการใช้จ่ายภาครัฐ (3) การกลับมาขยายตัวของอุปสงค์ภาคเอกชนในประเทศ และ (4) การปรับตัวตามฐานการขยายตัวที่ต่ำผิดปกติในปี 2563
คาดว่ามูลค่าการส่งออกสินค้าในรูปเงินดอลลาร์ สรอ.จะขยายตัวร้อยละ 5.8
การอุปโภคบริโภคภาคเอกชน และการลงทุนรวมขยายตัวร้อยละ 2.0 และร้อยละ 5.7 ตามลำดับ
อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยอยู่ในช่วงร้อยละ 1.0 – 2.0
และบัญชีเดินสะพัดเกินดุลร้อยละ 2.3 ของ GDP
ในที่ประชุม ครม. ยังได้รับทราบข้อเสนอแนะต่อการบริหารนโยบายเศรษฐกิจในปี 2564 ควรให้ความสำคัญกับ
(1) การควบคุมการแพร่ระบาดและการป้องกันการกลับมาระบาดรุนแรงภายในประเทศ โดย (i) การดำเนินการตามมาตรการควบคุมและป้องกันการระบาดของภาครัฐอย่างต่อเนื่อง และ (ii) การจัดหาและบริหารจัดการวัคซีนให้ครอบคลุมทั่วถึงและเพียงพอต่อการสร้างภูมิคุ้มกันหมู่อย่างรวดเร็วและจัดลำดับความสำคัญ โดยคำนึงถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการฟื้นฟูกิจกรรมทางเศรษฐกิจในพื้นที่แหล่งท่องเที่ยวสำคัญและการรักษาความต่อเนื่องของการผลิตในพื้นที่อุตสาหกรรมสำคัญของประเทศ ควบคู่ไปกับการจัดลำดับความสำคัญตามหลักการทางสาธารณสุข
(2) การรักษาบรรยากาศทางการเมืองภายในประเทศ
(3) การดูแลภาคเศรษฐกิจที่ยังมีข้อจำกัดในการฟื้นตัว โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยวและบริการที่เกี่ยวเนื่องซึ่งการฟื้นตัวยังมีข้อจำกัดจากมาตรการควบคุมการเดินทางระหว่างประเทศ รวมทั้งการพิจารณามาตรการช่วยเหลือภาคธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมเพิ่มเติม
(4) การรักษาแรงขับเคลื่อนการขยายตัวทางเศรษฐกิจจากการใช้จ่ายและการลงทุนภาครัฐ
(5) การขับเคลื่อนการส่งออกสินค้าเพื่อสร้างรายได้เงินตราต่างประเทศ โดย (i) การขับเคลื่อนการส่งออกสินค้าที่ได้รับประโยชน์จากการระบาดของโรค (ii) การสร้างความเชื่อมั่นในความปลอดภัยของสินค้าไทยควบคู่ไปกับการดำเนินมาตรการป้องกันการระบาดของโรคในพื้นที่ฐานการผลิตสำคัญอย่างเข้มงวด (iii) การขยายความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการค้าภายใต้กรอบความร่วมมือที่สำคัญ (iv) การให้ความสำคัญกับข้อตกลงระหว่างประเทศที่สำคัญๆ ที่อาจถูกหยิบยกเป็นเครื่องมือสำหรับการดำเนินมาตรการกีดกันทางการค้า (v) การพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานสินค้า (vi) การลดต้นทุนการผลิตสินค้าที่สำคัญๆ เพื่อลดแรงกดดันจากการแข็งค่าของเงินบาท และ (vii) การป้องกันความเสี่ยงจากความผันผวนของค่าเงิน
(6) การส่งเสริมการลงทุนภาคเอกชน โดยให้ความสำคัญกับ (i) การเร่งรัดให้ผู้ประกอบการที่ได้รับอนุมัติและออกบัตรส่งเสริมการลงทุนในช่วงปี 2561 – 2563 ให้เกิดการลงทุนจริง (ii) การแก้ไขปัญหาที่เป็นอุปสรรคต่อการลงทุนและการประกอบธุรกิจ (iii) การดำเนินมาตรการส่งเสริมการลงทุนเชิงรุกและอำนวยความสะดวกสำหรับนักลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย (iv) การขับเคลื่อนการลงทุนในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ และ (v) การขับเคลื่อนมาตรการสร้างศักยภาพการขยายตัวทางเศรษฐกิจในระยะยาวอย่างต่อเนื่อง (7) การเตรียมความพร้อมสำหรับการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ (8) การเตรียมมาตรการรองรับความเสี่ยงจากสถานการณ์ภัยแล้งและการดูแลรายได้เกษตรกร และ (9) การติดตามและเตรียมการรองรับความเสี่ยงจากความผันผวนในระบบเศรษฐกิจและการเงินโลกที่ยังมีแนวโน้มอยู่ในเกณฑ์สูงและอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยเพิ่มเติมควบคู่ไปกับการให้ความสำคัญกับการดูแลเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ
สรุป ปี 2564 จะเป็นปีแห่งการค่อยๆ ฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย ถ้าไม่มีปัจจัยแทรกซ้อนเข้ามาอีก โดยเฉพาะเรื่องการเมืองและโควิดรอบใหม่อีก และจะด้วยเหตุนี้หรือไม่ คนที่พยายามจะล้มรัฐบาลจึงต้องเร่งโหมไฟ สุมไฟ ทำทุกอย่างเพื่อเพิ่มเงื่อนไขและซ้ำเติมสถานการณ์ในบ้านเมือง
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี