เมื่อวานและวันนี้ ที่รัฐสภาได้มีการประชุมร่วมกันระหว่าง สส. - สว. เพื่อพิจารณาร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 วาระที่ 2 โดยเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 256 และเพิ่มหมวด 15/1 ว่าด้วยการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ อันเกี่ยวเนื่องกับเรื่องการจัดตั้ง ส.ส.ร. แต่ก่อนวาระรัฐธรรมนูญ ก็มีการขอให้นำร่างพ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ และพ.ร.บ.ส่งเสริมการใช้ประโยชน์ผลงานวิจัยและนวัตกรรมขึ้นมาพิจารณาก่อน โดยพรรคภูมิใจไทยก็ได้ทำการลุกขึ้นประท้วงเพราะไม่เห็นด้วยกับการนำร่างพ.ร.บ. 2 ร่างดังกล่าว ขึ้นมาพิจารณาก่อน เพราะจะทำให้การพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญวาระ 2 ไม่เสร็จ เนื่องจากร่างพ.ร.บ. 2 ฉบับนี้ มีผู้ขออภิปรายจำนวนมาก โดยเมื่อถึงเวลาอภิปราย พรรคภูมิใจไทยก็ลุกขึ้นวอล์กเอาท์ ออกจากที่ประชุม ไม่ร่วมพิจารณาในพ.ร.บ. 2 ฉบับนี้ แต่กลับมาพิจารณาวาระรัฐธรรมนูญ
อะไรเกิดขึ้นก่อนหน้านี้ หรือแผลยังสดใหม่อยู่ ?
ในสภาวะที่การเมืองกำลังเริ่มเกิดความขัดแย้งภายในเช่นนี้ การร่วมกันทำงานของรัฐบาลจะเป็นเช่นไร เช่นเดียวกับนอกสภาที่ก็เริ่มมีปัญหาเช่นเดียวกัน
ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจในวันสุดท้าย และวันลงคะแนนเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ที่นอกจากจะเปิดหน้าชกกันตรงๆ ในสภาต่อประเด็นตำรวจของฝ่ายค้านแล้ว นอกสภาก็ยังมีประเด็นใหม่ระหว่างกลุ่มผู้ชุมนุมกับตำรวจเช่นเดียวกันด้วยตั้งแต่คืนสุดท้ายของการอภิปรายและที่หน้าสตช.เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ผลของการลงคะแนนอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้รัฐมนตรีของรัฐบาลก็ยังไปต่อได้ทุกคน แต่ก็อาจมีรอยแผล ทั้งภายในพรรคร่วมรัฐบาล และพรรคฝ่ายค้าน จากกรณีการโหวตสวน สส.พรรคพลังประชารัฐบางคน กับรัฐมนตรีพรรคภูมิใจไทยบางคน หรือในกรณี สส. พรรคก้าวไกล ที่โหวตไว้วางใจรัฐมนตรีพรรคภูมิใจไทย แต่เอาเข้าจริงอาจไม่ใช่แค่สองคู่นี้ และนี่น่าจะเป็นครั้งที่แต่ละพรรคมีการโหวตสวนมติพรรคกันมากครั้งหนึ่งทั้งภายในพรรคร่วมรัฐบาลและพรรคร่วมฝ่ายค้านก็ตาม
เมื่อลองเจาะลึกจริงๆ กับผลการโหวตมีอะไรน่าสนใจให้ต้องตามต่อ
ประการแรกกรณี สส.พรรคพลังประชารัฐ ที่เรียกว่า กลุ่ม 6 ดาวฤกษ์ โหวตงดออกเสียง มีคนตั้งข้อสังเกตว่า เป็นการโหวตไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีของภูมิใจไทยเฉพาะนายศักดิ์สยามเท่านั้น ไม่รวมถึงนายอนุทิน เท่ากับการโหวตในครั้งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะความขัดแย้งต่อพรรค แต่อาจจะเป็นเรื่องเฉพาะบุคคลหรือไม่ ? ซึ่งหนึ่งใน สส. ในกลุ่มดังกล่าวก็ออกมาโพสต์เฟซบุ๊คของตัวเองว่าที่โหวตงดออกเสียงไปนั้น เป็นเพราะตลอดการอภิปรายรัฐมนตรีคนดังกล่าวไม่สามารถชี้แจงได้ชัดเจนเพียงพอ แต่เอาเข้าจริงปัจจัยหลักที่ทำให้กลุ่มดังกล่าวลงญัตติเช่นนั้นแท้จริงแล้วเกิดจากอะไรกันแน่ ? เพราะหากย้อนไปดูก่อนหน้านี้เคยมีข่าวขัดแย้งกันถึงขั้นฟ้องร้องระหว่างแกนนำพรรคหนึ่งกับสื่อยักษ์ที่มีความเกี่ยวข้องกับบางคนในสส.กลุ่มนี้ และอาจรวมถึงประเด็นที่เกี่ยวกับการต่อสัมปทานและประมูลรถไฟฟ้าบางสายหรือไม่? อย่างไรก็ตาม อาจมีคนคิดเลยเถิดไปถึงการปรับครม.ในสัดส่วนพรรคพลังประชารัฐที่อาจเกิดขึ้นต่อจากนี้ การรวมพลังสส.เป็นกลุ่มเช่นนี้จะเกิดความเปลี่ยนแปลงอะไรได้หรือไม่? อีกไม่นานคงรู้
สถิติอีกเรื่องที่ต้องนำมาวิเคราะห์คือ เกิดอะไรขึ้นกับ 4 คนของพรรคก้าวไกล จากข่าวที่นำเสนอว่าได้มี 4 สส.ก้าวไกลโหวตสวนมติพรรค ซึ่งก็มีคนตั้งคำถามว่า ที่ สส.ของก้าวไกลทั้ง 4 คน โหวตไว้วางใจ สส.ฝั่งรัฐบาลนั้นเป็นเพราะอะไร โดยพบว่าทั้ง4 สส.ได้โหวตไว้วางใจให้ นายอนุทิน และนายศักดิ์สยาม นอกจากนี้ยังมีนายคารม ที่โหวตให้ นายนิพนธ์ รมช.มหาดไทย เพิ่มอีก 1 เสียงด้วย และถึงแม้จะมีคนบอกว่าไม่ได้โหวตให้กับรัฐบาลทุกคน แต่อะไรคือเหตุผลที่ทำให้กล้ายกมือสวนมติพรรค อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้มีข่าวขัดแย้งกันในพรรคก้าวไกลเรื่อง มาตรา 112จนทำให้ สส. 4 คนดังกล่าวไม่ได้ร่วมลงชื่อตามที่พรรคเสนอ จนนำไปสู่ความขัดแย้งภายในเวลาต่อมา และเหตุการณ์ดังกล่าวก็อาจจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงของทั้ง 4 คนนี้หรือไม่ ? และแม้วันนี้ก้าวไกลจะไม่ได้มีมติขับออกจากพรรค แต่หลายคนก็กำลังดูว่าหากสมมุติ 4 คนดังกล่าวไม่ได้อยู่
ก้าวไกลแล้ว จะย้ายไปอยู่พรรคไหนต่อไป ?
การเดินเกมของ พรรคเล็กฝั่งรัฐบาล อย่าง พรรคเศรษฐกิจใหม่ในฐานะพรรคร่วมรัฐบาล มี สส. ด้วยกัน 5 คน (โดยไม่นับนายมิ่งขวัญที่อยู่กับฝ่ายค้าน) ซึ่งเมื่อมาดูจากผลโหวตที่สำนักข่าวนำมาลง ภาพรวม ยังคงอยู่กับรัฐบาล โดยส่วนใหญ่ยังเลือกที่จะไว้วางใจรัฐมนตรีที่โดนอภิปราย แต่เหตุใดถึงมีการโหวตไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีจากพรรคพลังประชารัฐสองคน
คือ โหวตไม่ไว้วางใจท่านหนึ่งถึง 5 คน และโหวตไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีอีกท่านหนึ่งอีก 4 คน หากเป็นเช่นนั้นจริงเกิดอะไรขึ้นกับการตัดสินใจภายในของพรรค?
ในส่วนของแกนนำฝ่ายค้านอย่าง พรรคเพื่อไทย ก็ไม่เบาแต่ก็เป็นเช่นเดียวกับการอภิปรายไม่ไว้วางใจปีที่แล้ว คือ มีสมาชิกพรรคสองคนที่โหวตไว้วางใจให้กับรัฐมนตรีจากรัฐบาลบางคน แต่ที่น่าสนใจคือปีนี้มีเพิ่มคือ มีบางคนไม่ได้มาลงคะแนน และบางส่วนงดออกเสียง แต่เหตุใดคนที่โหวตไว้วางใจจึงโหวตแค่บางคนคือพล.อ.ประวิตร และ ร.อ.ธรรมนัส หากจริงตอนนี้ภายในพรรคเพื่อไทย เป็นอย่างไรกันแน่ ?
นอกจากนี้มีประเด็นที่ว่า เกิดอะไรขึ้นจึงทำให้คะแนน ร.อ.ธรรมนัส ที่ได้คะแนนไว้วางใจสูงกว่าทุกคน จนไปเท่ากับพล.อ.ประวิตร และสูงกว่าพล.อ.ประยุทธ์ ด้วยซ้ำ และมีคะแนนไม่ไว้วางใจก็ดีที่สุด คือเป็นคนเดียวที่คะแนนไม่ไว้วางใจต่ำกว่า 200 ส่วนต่างที่ ร.อ.ธรรมนัส ได้รับนั้นเกิดขึ้นเพราะอะไร ?
พรรคเล็กซีกฝ่ายค้าน รอบนี้ก็มีอะไรน่าสนใจไม่น้อย อย่างกรณีพรรคประชาชาติที่มาโหวตให้รัฐบาลแต่ก็เป็นเพียง 1 เสียง จาก 7 เสียง ซึ่งก็เป็นเช่นเดียวกับปีที่แล้ว แต่จากข่าวที่พบรอบนี้กรณีพรรคเพื่อชาติห้าคน ที่สามคนโหวตให้ ร.อ.ธรรมนัส อีกสองคนงดออกเสียง และยังมีอีกบางส่วนที่งดออกเสียงกรณีไม่ไว้วางใจ รมว.บางคน หากจริงนี่จึงอาจเป็นเหตุผลให้คะแนนไม่ไว้วางใจของ ร.อ.ธรรมนัส ต่ำกว่า 200 หรือดีกว่าทุกคน หรือไม่?
แต่ที่พบว่าหนักหน่อยคือกรณีภายในพรรคกันเอง อย่างประชาธิปัตย์ มีคนโหวตแตกต่างจากสส.ในพรรคต่อกรณีไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีของพรรคตนเอง โดยมี สส. จำนวน 5 คนที่โหวตแตกต่าง โดยมีทั้งโหวตงดออกเสียงให้รัฐมนตรีทั้ง 10 คน และแบบไม่ลงคะแนน แต่ก็ยังมีประเด็นน่าคิดต่อกรณีคะแนนของรัฐมนตรี
สองคนในพรรคไม่เท่ากัน โดยพบว่าส่วนหนึ่งมาจากข้างนอกแต่ก็มีอีกส่วนหนึ่งในพรรคที่โหวตงดออกเสียงให้อีกคนหนึ่งแต่กลับมาโหวตไว้วางใจให้อีกคน? แต่ก็ไม่รู้ว่าจะจริงหรือไม่หรืออาจมีความผิดพลาดในการกดผิดอะไรหรือไม่ ?
นอกจากประเด็นความขัดแย้งภายในพรรคร่วมรัฐบาล และพรรคร่วมฝ่ายค้านแล้ว ประเด็นในสภาที่นำมาสู่การเชื่อมต่อภายนอกอย่างประเด็นตำรวจ ที่ประชาชนให้ความสนใจอยู่ในขณะนี้ กำลังท้าทายรัฐบาลต่อการทำความเข้าใจประชาชนเพื่อแก้ปัญหา
ในพรรคการเมืองทั้งของฝ่ายรัฐบาล และฝ่ายค้าน รวมถึงการเดินหมากก้าวต่อไปของทางตำรวจ และของกลุ่มผู้ชุมนุม ที่เป็นเช่นนี้เพราะภาพจำความคิดทัศนคติ
ของประชาชนคนไทยต่อตำรวจนั้น ดูเหมือนจะไม่ค่อยใช่ภาพจำที่ดีเสียเท่าไหร่? ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาประเด็นในเรื่องการทำงานของตำรวจสำหรับคนไทย ก็เป็นเชื้อไฟที่จุดติดในใจของประชาชนได้ง่ายอยู่แล้ว ดูอย่างการชุมนุมปีที่แล้วประเด็นที่สามารถปลุกกระแสกลุ่มผู้ชุมนุมได้ก็คือ ประเด็นการทำหน้าที่ของตำรวจต่อคดีสำคัญทั้งหลาย เช่นเดียวกับการกลับมาระบาดระลอกใหม่ของโควิดในประเทศจากกรณีแรงงานต่างชาติ และการแพร่ระบาดจากบ่อน ก็ล้วนมีการวิพากษ์วิจารณ์จากประชาชนต่อการทำหน้าที่ของตำรวจว่าเป็นต้นเหตุของเรื่องหรือไม่ ?
สิ่งสำคัญคือการสร้างความเชื่อมั่น และการอธิบายให้ประชาชนเข้าใจ อย่างไรก็ตามตอนนี้ก็มีเรื่องเงินๆ ทองๆ ที่กำลังบั่นทอนความเชื่อมั่นต่อแกนนำกลุ่มผู้ชุมนุมเช่นกัน ที่มีการเรียกร้องให้เปิดเผยข้อมูลทางการเงินทั้งของแกนนำและการชุมนุม
จึงไม่แปลกที่ตอนนี้ประชาชนต่างเบื่อหน่ายทั้งนักการเมืองในสภา และความขัดแย้งนอกสภา เพราะสุดท้ายก็ไม่รู้ว่ามีใครจริงใจต่อการช่วยเหลือหรือทำเพื่อบ้านเมืองจริงๆ
“มนุษย์มีชีวิตอยู่ด้วยการเปลี่ยนแปลง มนุษย์พ่ายแพ้ต่อชะตากรรมที่ตนเองเลือกเสมอ”
โกวเล้ง จากหนังสือ มังกรเมรัย
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี