ฝ่ายที่มุ่งพยายามโจมตีรัฐบาล ก็ยังคงแผ่นเสียงตกร่อง กล่าวหาว่า ประเทศไทยยังไม่มีแผนจัดการเรื่องวัคซีนที่ชัดเจนเพียงพอ ทั้งที่ฝ่ายรัฐบาลและสาธารณสุข
ก็ชี้แจงแถลงไขเรื่องนี้มาโดยตลอด
ถึงขนาดเมื่อวัคซีนซิโนแวคลอตแรกเดินทางมาถึงประเทศไทย เป็นไปตามแผนวัคซีนที่วางกันเอาไว้ แถมวันเดียวกัน ก็มีวัคซีนแอสตราฯ นำเข้ามาด้วย
แต่น่าอนาถใจ นักการเมืองฝ่ายค้านบางคน ก็ยังทำตัวไร้ค่า เหมือนกอสวะจะลอยออกมาขวางคลอง จิกหัวด่าคนทำงานซ้ำซาก
ข้อมูลที่คนไทยควรทราบเกี่ยวกับวัคซีนโควิด-19 และแผนการฉีดวัคซีนเพื่อคนไทยปลอดภัย ดังนี้
1. ประเทศไทยเป็นประเทศที่จองวัคซีนมากที่สุดในภูมิภาค และมีจำนวนวัคซีนต่อจำนวนประชากรมากที่สุด ทั้งหมด เดินหน้าไปตามแผน ไม่ได้มีความล่าช้า
2. ช่วงแรกนี้ มีวัคซีน 2 ยี่ห้อ
Sinovac - มีผลข้างเคียงเล็กน้อย คือ เกิดอาการเหนื่อยล้า หลังรับวัคซีน และยังไม่พบรายงานอาการไม่พึงประสงค์ที่รุนแรง เป็นวัคซีน ชนิดเชื้อตายเป็นเทคโนโลยีดั้งเดิม มีความปลอดภัยสูง หลายประเทศไม่แนะนำให้ฉีดในผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป
แอสตราฯ/ออกฟอร์ด - มีประสิทธิภาพในการป้องกันระดับสูง ไม่พบ Side Effect ที่รุนแรง สามารถเก็บไว้ในตู้เย็นปกติได้ มีข้อมูลการทดลองแสดงให้เห็นว่าสามารถฉีดให้ผู้ที่มีอายุมากกว่า 65 ปี
ดังนั้น ถ้านายกฯ พลเอกประยุทธ์ ซึ่งอายุเกินอายุ 66 ปีแล้ว จะฉีดเพื่อสร้างความเชื่อมั่น ก็ต้องฉีดวัคซีนของแอสตราฯ ตามคำแนะนำของแพทย์
ส่วนรองฯ อนุทิน หากจะฉีดเพื่อสร้างความเชื่อมั่นด้วย ก็สามารถฉีดของซิโนแวค
3. รัฐบาลจัดการให้คนไทยได้ฉีดฟรี ไม่คิดค่าใช้จ่าย
แผนการกระจายวัคซีนระยะที่ 1 ในวันที่ 1 มี.ค.2564 ให้กับกลุ่มเป้าหมาย 13 จังหวัด ดังนี้
สมุทรสาคร จะได้รับวัคซีน 70,000 โดส แบ่งให้กับ บุคลากรทางการแพทย์ 8,000 โดส เจ้าหน้าที่สัมผัสผู้ป่วย 6,000 โดส ผู้มีโรคประจำตัว 46,000 โดส และประชาชนทั่วไปและแรงงาน 10,000 โดส
กทม.(ฝั่งตะวันตก) จะได้รับวัคซีน 66,000 โดส แบ่งให้กับ บุคลากรทางการแพทย์ 12,400 โดส เจ้าหน้าที่สัมผัสผู้ป่วย 1,600 โดส ผู้มีโรคประจำตัว 47,000 โดส และประชาชนทั่วไปและแรงงาน 5,000 โดส
ปทุมธานี จะได้รับวัคซีน 8,000 โดส แบ่งให้กับ บุคลากรทางการแพทย์ 3,000 โดส เจ้าหน้าที่สัมผัสผู้ป่วย 2,000 โดส ผู้มีโรคประจำตัว 2,000 โดส และประชาชนทั่วไปและแรงงาน 1,000 โดส
นนทบุรีและสมุทรปราการ จะได้รับวัคซีน 6,000 โดส แบ่งให้กับ บุคลากรทางการแพทย์ 2,000 โดส เจ้าหน้าที่สัมผัสผู้ป่วย 1,000 โดส ผู้มีโรคประจำตัว 2,000 โดส และประชาชนทั่วไปและแรงงาน 1,000 โดส
ตาก อำเภอแม่สอด จะได้รับวัคซีน 5,000 โดส แบ่งให้กับ บุคลากรทางการแพทย์ 3,000 โดส และเจ้าหน้าที่สัมผัสผู้ป่วย 2,000 โดส
นครปฐม จะได้รับวัคซีน 3,500 โดส แบ่งให้กับ บุคลากรทางการแพทย์ 2,500 โดส และเจ้าหน้าที่สัมผัสผู้ป่วย 1,000 โดส
สมุทรสงคราม จะได้รับวัคซีน 2,000 โดส แบ่งให้กับ บุคลากรทางการแพทย์ 1,500 โดส และเจ้าหน้าที่สัมผัสผู้ป่วย 500 โดส
ราชบุรี จะได้รับวัคซีน 2,500 โดส แบ่งให้กับ บุคลากรทางการแพทย์ 2,000 โดส และเจ้าหน้าที่สัมผัสผู้ป่วย 500 โดส
ส่วนในพื้นที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคม ได้แก่ ชลบุรี จะได้รับวัคซีน 4,700 โดส ภูเก็ต 4,000 โดส สุราษฎร์ธานี อำเภอเกาะสมุย 2,500 โดส และเชียงใหม่ 3,500 โดส ซึ่งจะมอบให้คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดพิจารณาจัดสรรการแจกจ่ายวัคซีนให้กับกลุ่มเป้าหมาย
ทั้งนี้ จะสำรองอีก 16,300 โดส สำหรับควบคุมการระบาดและฉีดให้บุคลากรในโรงพยาบาลที่รักษาผู้ป่วยโควิด ส่วนระยะห่างการฉีดนั้น เข็มที่ 1 และเข็มที่ 2
จะห่างกัน 2-3 สัปดาห์
4. สำหรับแผนการฉีดวัคซีนว่าจะได้ถึง 61 ล้านโดสได้อย่างไร?
สามารถดูได้ตามตารางข้างล่างนี้
จะเห็นได้ว่า มีความชัดเจน และรายละเอียดปลีกย่อยอีกด้วยว่าในแต่ละจังหวัดมีสถานพยาบาลกี่แห่งที่จะให้บริการฉีดวัคซีน รัฐกี่แห่ง เอกชนกี่แห่ง โดยมี 8 ขั้นตอนอย่างไรบ้าง
เป็นไปตามแผนกลยุทธ์การบริหารจัดการวัคซีนโควิด-19 พ.ศ. 2564 (1) วิสัยทัศน์ ทุกคนในประเทศไทยเข้าถึงวัคซีนที่มีคุณภาพ ปลอดภัยมีประสิทธิภาพในการป้องกันโรคโควิด-19 (2) เป้าหมาย ลดการป่วยรุนแรงและเสียชีวิต รักษาความมั่นคงระบบสุขภาพ ลดความเสี่ยงในการแพร่กระจายเชื้อ และรักษาความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคม (3) หลักการ ให้วัคซีนโควิด - 19แก่ประชาชน โดยคำนึงถึงหลักจริยธรรม ความเท่าเทียมหลักฐานทางวิชาการ ปริมาณวัคซีนที่จัดหาได้ และความสามารถในการบริหารจัดการภายใต้บริบทของประเทศ และ(4) กลยุทธ์ ประกอบด้วย กลยุทธ์ที่ 1 การสื่อสารสาธารณะ สร้างความรู้ความเข้าใจประชาชน กลยุทธ์ที่ 2การจัดบริการที่มีคุณภาพครอบคลุมประชาชนเป้าหมายอย่างรวดเร็ว กลยุทธ์ที่ 3 การประกันคุณภาพวัคซีน และติดตามอาการข้างเคียง (AEFI) กลยุทธ์ที่ 4 การพัฒนาระบบข้อมูลและช่วยการบริหารจัดการ และกลยุทธ์ที่ 5การจัดการองค์ความรู้เพื่อพัฒนาบริการให้วัคซีน
ดังที่ประชุม ครม. ได้มีมติเห็นชอบไปแล้ว ได้แก่
(1) เห็นชอบแผนกลยุทธ์การบริหารจัดการการให้วัคซีนโควิด - 19 ในประเทศไทย
(2) อนุมัติแผนการกระจายวัคซีนโควิด - 19 ของบริษัท Sinovac จำกัด จำนวน 2,000,000 โดส ระหว่างเดือนมีนาคม-พฤษภาคม 2564
(3) เห็นชอบให้กระทรวงสาธารณสุข (กรมควบคุมโรค) แก้ไขสัญญาจองซื้อวัคซีนโควิด - 19 กับบริษัท AstraZeneca จำกัด จากเดิม 26,000,000 โดส เป็น61,000,000 โดส (เพิ่มอีก 35,000,000 โดส) และเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อขอรับการจัดสรรวงเงินงบประมาณเพิ่มเติม จำนวน 6,387.46 ล้านบาท
(4) มอบหมายกระทรวงสาธารณสุข ดำเนินการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และรายงานผลความคืบหน้าการบริหารจัดการวัคซีนโควิด - 19 ให้ ศบค. ทราบด้วย
(5) การบริหารจัดการวัคซีนโควิด - 19 ต้องยึดเป้าหมายให้ทุกคนในประเทศไทยเข้าถึงวัคซีนที่มีคุณภาพ ปลอดภัย และมีประสิทธิภาพ บนพื้นฐานของหลักจริยธรรม ความเท่าเทียม และหลักวิชาการ
(6) ควรพิจารณาเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนนำเข้าวัคซีนโควิด - 19 ที่ผ่านการขึ้นทะเบียนในประเทศไทยได้
ทั้งหมด เป็นบางส่วนของแผนวัคซีนประเทศไทย เพื่อความปลอดภัยของคนไทย
คนไทยควรเชื่อมั่นทีมงานที่มีคุณหมอเป็นคลังสมองสำคัญ มีรัฐบาลเป็นผู้อำนายความสะดวก บริหารจัดการ มีผลงานควบคุมโควิดเป็นที่ยอมรับชื่นชมระดับโลกมาแล้ว มากกว่าจะไปเสียเวลากับฝ่ายที่พยายามแซะทุกวิถีทาง
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี