มีข้อกังขาถึงการทำงานขององค์กรอัยการหลายคดี
ไม่ว่าจะเป็น กรณีสั่งไม่ฟ้องคดีบอส (ก่อนที่จะถูกสังคมกดดัน และนายกฯ ตั้งคณะกรรมการอิสระตรวจสอบ) จากนั้น อัยการค่อยสั่งฟ้อง
กรณีสั่งไม่อุทธรณ์คดีฟอกเงินพานทองแท้
กรณีสั่งไม่ฟ้องคดีค้ามนุษย์วิคตอเรียซีเครท สำหรับผู้ต้องหาสองคน ได้แก่ เมียและลูกของเสี่ยคนดัง
กรณีสั่งไม่ฟ้องคดีสินบนข้ามชาติท่าเรือโรงไฟฟ้าขนอม
กรณีสั่งไม่ฟ้องคดีฟอกเงินของเจ้าสัวธรรมกาย
กรณีไม่ฎีกาคดีฟอกเงินของอดีตพระผู้ใหญ่ในคดีฟอกเงินทุจริตเงินทอนวัด พศ.
กรณีสั่งไม่ฟ้องนายธนาธรคดีโจมตี คสช. และสั่งไม่ฟ้องนายปิยบุตรกรณีหมิ่นศาลรัฐธรรมนูญ
ฯลฯ
หลายกรณี ทางอัยการยังไม่มีการชี้แจงแถลงไขอย่างตรงไปตรงมา เปิดเผย แสดงเหตุและผลให้เป็นที่ประจักษ์ แต่กลับทำเฉยๆ นิ่งๆ เงียบๆ ทั้งๆ ที่ ผลของการสั่งไม่ฟ้อง หรือสั่งไม่อุทธรณ์นั้น เกิดประโยชน์แก่ผู้ต้องหาที่เป็นคนมีเงินมีอำนาจในสังคม และอาจเกิดผลเสียหายต่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม
ล่าสุด บางส่วนของปัญหานี้ ก็ถูกสะท้อนผ่านข้อเสนอของคณะกรรมาธิการในสภาผู้แทนราษฎร เสนอไปยังที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ในรูปรายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง “การทบทวนกระบวนการพิจารณาคำสั่งไม่ฟ้องของพนักงานอัยการ” ของคณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชนสภาผู้แทนราษฎร ตามที่กระทรวงยุติธรรม (ยธ.) เสนอ
คณะรัฐมนตรีรับทราบ
เนื้อหาโดยสรุป ดังนี้
1. สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร (สผ.) ได้เสนอรายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง การทบทวนกระบวนการพิจารณาคำสั่งไม่ฟ้องของพนักงานอัยการของคณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน มาเพื่อดำเนินการ
โดยคณะกรรมาธิการฯ ได้มีข้อสังเกตและข้อเสนอแนะ ดังนี้ 1) ยกเลิกมาตรา 145/1 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา และให้ใช้มาตรา 145 (เดิม) และ 2) การตรวจสอบถ่วงดุลคำสั่งไม่ฟ้องคดีของพนักงานอัยการโดยผู้ว่าราชการจังหวัด
2. รองนายกฯ นายวิษณุ เครืองาม ให้กระทรวงยุติธรรมเป็นหน่วยงานหลักรับรายงานพร้อมข้อสังเกตและข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการดังกล่าวไปพิจารณาร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของข้อสังเกตและข้อเสนอแนะดังกล่าว และสรุปผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวในภาพรวม แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่งเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
กระทรวงยุติธรรมเสนอว่า ได้ร่วมประชุมหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงมหาดไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานอัยการสูงสุด และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา โดยพิจารณาข้อสังเกตและข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการฯ แล้วสรุปผลการพิจารณาได้ ดังนี้
(1) ยกเลิกมาตรา 145/1 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา และให้ใช้มาตรา 145 (เดิม) โดยมีความเห็นเป็นสองฝ่าย ดังนี้
1.1 ฝ่ายที่หนึ่ง เห็นควรให้มีการทบทวนกระบวนการพิจารณาสั่งไม่ฟ้องของพนักงานอัยการตามมาตรา 145/1 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาเพื่อให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 ซึ่งกำหนดให้ผู้ว่าราชการจังหวัดรับผิดชอบการบริหารงานราชการส่วนภูมิภาค และเป็นตัวแทนฝ่ายบริหารที่มีความเป็นกลางไม่มีส่วนได้เสีย จึงมีความเหมาะสมในการพิจารณาคำสั่งไม่ฟ้อง
1.2 ฝ่ายที่สอง เห็นควรให้คงไว้เพื่อให้มีระบบถ่วงดุลการใช้ดุลพินิจซึ่งกันและกันระหว่างพนักงานสอบสวนและพนักงานอัยการ และให้กระบวนการยุติธรรมทางอาญาของประเทศ ทั้งในเขตกรุงเทพมหานครและในจังหวัดอื่นเป็นระบบอย่างเดียวกัน ซึ่งกำหนดให้ผู้บังคับบัญชาฝ่ายตำรวจมีอำนาจในการพิจารณาคำสั่งไม่ฟ้องของพนักงานอัยการ
จึงเห็นควรให้มีการทบทวนความเหมาะสมของกระบวนการพิจารณาคำสั่งไม่ฟ้องของพนักงานอัยการดังกล่าว โดยให้ดำเนินการตามหลักการมาตรา 77 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 และพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การจัดทำร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย พ.ศ. 2562 โดยให้มีการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนและผู้ที่เกี่ยวข้องนำสถิติการดำเนินงานต่างๆ มาวิเคราะห์ผลกระทบ ความคุ้มค่าที่อาจเกิดขึ้นจากกฎหมายอย่างรอบด้านและเป็นระบบ รวมทั้งเปิดเผยผลการรับฟังความคิดเห็นและการวิเคราะห์นั้นต่อประชาชน และนำมาประกอบการพิจารณาในกระบวนการตรากฎหมายทุกขั้นตอน
(2) การตรวจสอบถ่วงดุลคำสั่งไม่ฟ้องคดีของพนักงานอัยการโดยผู้ว่าราชการจังหวัด เห็นควรเพิ่มเติมคณะกรรมการกลั่นกรองการสั่งไม่ฟ้องของพนักงานอัยการ เพื่อเป็นการส่งเสริมหลักการมีส่วนร่วมของประชาชนและภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในกระบวนการยุติธรรมทางอาญาให้การดำเนินคดีอาญาในชั้นการสอบสวนฟ้องร้องมีความรอบคอบ และครอบคลุมมากยิ่งขึ้น
อย่างไรก็ดี กระบวนการดังกล่าวอาจเกิดปัญหาในเรื่องของระยะเวลาในการดำเนินการและผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองนั้นมีสภาพบังคับต่อผู้มีอำนาจในการพิจารณาทบทวนคำสั่งไม่ฟ้องของพนักงานอัยการหรือไม่ เพียงใด ซึ่งอาจเป็นการเพิ่มขั้นตอนและส่งผลให้เกิดความล่าช้าในการดำเนินคดีอาญาดังกล่าว
นอกจากนี้ ควรมีการกำหนดองค์ประกอบของคณะกรรมการกลั่นกรอง และประเภทคดีให้มีความเหมาะสม ไม่ซ้ำซ้อนกับการดำเนินการโดยองค์กรอื่นๆ ทั้งนี้ โดยให้คำนึงถึงหลักการมาตรา 77 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ที่บัญญัติให้รัฐพึงใช้ระบบคณะกรรมการในกฎหมายเฉพาะกรณีที่จำเป็นด้วย
3. ทั้งหมด ยังไม่ได้ข้อยุติ
ครม. ก็ได้รับทราบถึงการไปดำเนินการรับฟังของแต่ละฝ่าย
นายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ควรใช้ภาวะผู้นำในการเข้ามาให้เกิดการแก้ไขเรื่องเหล่านี้ เพราะเป็นปัญหาใหญ่เกี่ยวกับกระบวนการยุติธรรมของประเทศ แม้ศาลจะยุติธรรมเพียงใด แต่ถ้าคดีไปไม่ถึงศาล หรือไปไม่ตลอดทาง ก็อาจจะทำให้คนชั่วคนโกงที่มีเงินมีเส้นสายผลประโยชน์สามารถหลุดรอดไปได้
แต่เบื้องต้น ที่ควรจะดำเนินการในทันที คือ สำนักงานอัยการสูงสุดจะต้องพิจารณาตัวเอง
ตอบข้อสงสัย ข้อครหา ในการสั่งไม่ฟ้องและสั่งไม่อุทธรณ์คดีในหลายๆ คดี
ไม่ใช่นิ่งเงียบไปเช่นนี้
อย่าลืมว่า สำนักงานอัยการสูงสุด ไม่ใช่แดนสนธยา
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี