การที่ผู้กระทำผิดหรือผู้ร้ายจำนนต่อหลักฐานทั้งปวงที่มัดแน่น จนเขาไม่สามารถปฏิเสธการจงใจกระทำความผิดของตนได้อีกต่อไป แล้วยอมรับสารภาพ เพราะเขาไม่มีทางปฏิเสธได้อีกต่อไป แบบนี้แล้วเราจะยังถือว่าผู้ร้ายให้ความร่วมมือในกระบวนการยุติธรรม ได้หรือไม่ และในกรณีเช่นนี้ ผู้ร้ายรายนั้นสมควรจะได้รับความเมตตาปรานีจากกระบวนการยุติธรรม อีกกระนั้นหรือ
ฉันใดก็ฉันนั้น จากข้อความและรูปภาพที่ปรากฏเป็นข่าวครึกโครมในสื่อมวลชนกระแสหลัก รวมถึงสื่อประเภทออนไลน์สารพัดชนิด ถึงเหตุการณ์ที่ผู้ร้ายกลุ่มหนึ่งจงใจเผาพระบรมฉายาลักษณ์ที่ประดิษฐานอยู่ ณ หน้าเรือนจำกลางกรุงเทพฯ (เรือนจำกลางคลองเปรม) โดยผู้ร้ายจงใจเผาเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2564 แต่แล้วสุดท้ายเมื่อเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับคดีนี้ติดตามจับกุมตัวผู้ร้ายได้ หลังจากผู้ร้ายจงใจหลบหนีคดี จนในที่สุด ผู้ร้ายผู้จงใจก่อคดีนี้ก็สารภาพว่าตนเองเป็นผู้เผา
ความผิดที่ผู้จงใจกระทำการในครั้งนี้คือผิดมาตรา 112ผิดในข้อหาวางเพลิงเผาทรัพย์ผู้อื่น และความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
ผู้กระทำความผิดในคดีดังกล่าวคือ ไชยอมรแก้ววิบูลย์พันธุ์ (อันที่จริงมีผู้เรียกร้องให้เปิดเผยชื่อพ่อแม่ของผู้กระทำความผิดด้วย แต่ขออนุญาตไม่นำมากล่าวในที่นี้) และเป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปว่าผู้กระทำความผิดรายนี้เคยกระทำการอันแสดงให้สาธารณชนเห็นได้ชัดเจนว่าจงใจหมิ่นพระบรมเดชานุภาพมาแล้วหลายครั้ง ดังนั้นการที่ศาลสถิตยุติธรรมไม่อนุญาตให้ประกันตัว จึงเป็นเหตุที่ควรแก่การรับฟังได้ เพราะพฤติกรรมของผู้กระทำผิดบ่งชี้ว่าไม่เกรงกลัวต่อกฎหมายแม้แต่น้อย และยังกระทำผิดซ้ำซากเป็นประจำตลอดเวลา
คำถามที่วิญญูชนซึ่งไม่เห็นด้วยกับการกระทำของผู้ร้ายคดีนี้ก็คือ ผู้ร้ายรวมกับพวกจงใจก่อคดีนี้ด้วยความตั้งใจของตนเองเพียงลำพัง หรือว่าได้รับการสนับสนุนหรือการว่าจ้างจากใครหรือไม่ โดยเฉพาะจากนักการเมืองกลุ่มหนึ่งที่แสดงตนมาโดยตลอดว่าสนับสนุนการชุมนุมประท้วงของกลุ่มราษฎร และกลุ่มที่ใช้สัญลักษณ์ชูสามนิ้ว
สาธารณชนที่ติดตามพฤติกรรมของผู้จงใจเผาในครั้งนี้ต่างตั้งคำถามว่า รัฐบาลและหน่วยราชการที่ทำหน้าที่ด้านข่าวกรองมีปัญญาค้นหาเส้นทางการเงินของผู้กระทำผิดได้หรือไม่ และมีปัญญารู้ไหมว่าผู้กระทำผิดมีสายสัมพันธ์ใดๆ กับกลุ่มการเมือง และกลุ่มคนสอนหนังสือในมหาวิทยาลัย รวมถึงกลุ่มคนอื่นๆ ที่สนับสนุนให้ล้มล้างมาตรา 112
สาธารณชนกำลังเฝ้าจับตามองการทำงานของรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับคดีนี้ว่าจะมีปัญญาทำความจริงเรื่องนี้ให้กระจ่างหรือไม่ ส่วนเรื่องสมศักดิ์เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ให้ข่าวว่ามีนักการเมืองอยู่เบื้องหลังคดีนี้ พร้อมอ้างว่ามีหลักฐานเชื่อมโยงอย่างชัดเจน ก็เป็นสิ่งที่สาธารณชนกำลังเฝ้ารอเช่นกัน
ขอย้ำว่า ผู้จงใจเผาพระบรมฉายาลักษณ์ในครั้งนี้ไม่สามารถทำการอุกอาจถึงเพียงนี้ได้โดยลำพัง ซึ่งก็หมายความว่าทำกันเป็นขบวนการ ซึ่งคนในขบวนการล้มล้างมาตรา 112 ก็มีอยู่เพียงจำนวนหนึ่งเท่านั้น คนในขบวนการนี้มีหน้าตา ตัวตนเช่นไร คนไทยที่ติดตามเรื่องนี้มาโดยตลอดรับรู้กันเป็นอย่างดี เหลือแค่เพียงว่ารัฐบาลกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับคดีนี้จะมีปัญญารู้หรือไม่ หรือว่ารู้มานานแล้ว แต่ยังรีๆ รอๆ เพราะมีแผนการประหลาดบางอย่างอยู่ในใจ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี