แน่นอนครับ เทคโนโลยีเป็นปัจจัยสำคัญต่อความสำเร็จและการขยายผลของการแก้ไขปัญหาสังคมต่างๆ โดยเฉพาะปัญหาคอร์รัปชัน แต่มันไม่ใช่ยาวิเศษที่เราจะหวังพึ่งพาได้แบบม้วนเดียวจบโดยไม่ต้องพึ่งอะไรอีกแล้ว ทำไมผมถึงคิดเช่นนี้ ก่อนอื่นผมขอเริ่มอธิบายก่อนว่า ที่ผมกล่าวว่าเทคโนโลยีเป็นตัวเร่งนั้น ไปเร่งปัจจัยอะไรบ้างในการแก้ไขปัญหาคอร์รัปชันด้วยเทคโนโลยีนะครับ
ปัจจัยแรกคือ ความโปร่งใส ซึ่งนับว่าเป็นปัจจัยพื้นฐานเลยก็ว่าได้เพราะจะแก้ปัญหาอะไรหากขาดข้อมูล ก็คงยากที่จะแก้ให้ถูกจุดถูกวิธี เกาหลีใต้เป็นประเทศหนึ่งที่ได้รับการยอมรับว่ามีความโปร่งใสสูงมาก และนี่เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกาหลีใต้ได้รับคะแนนจากดัชนีภาพลักษณ์คอร์รัปชัน (Corruption Perception Index) สูงมาก ซึ่งหมายความว่ามีคอร์รัปชันน้อยมาก โดยกระบวนการเปิดเผยข้อมูลขนาดใหญ่นี้ เริ่มต้นมาจากเทศบาลกรุงโซล เมืองหลวงของประเทศนี้เอง เริ่มต้นโดยอดีตนายกเทศมนตรีกรุงโซลที่มีแนวคิดว่าประชาชนควรจะรับทราบข้อมูลสาธารณะทั้งหมด โดยรัฐไม่มีความจำเป็นต้องปิดบังอะไร เพื่อประโยชน์ของประชาชนเอง และประโยชน์ของรัฐด้วยที่จะมีคนจำนวนมากมาช่วยดูแล ช่วยคิดหาทางใช้งบประมาณให้มีประสิทธิภาพสูงสุด แนวความคิดนี้ไม่เพียงนำไปสู่การเปิดเผยข้อมูลออนไลน์เท่านั้น แต่สะท้อนผ่านการจัดสรรพื้นที่ของศาลากลางกรุงโซลด้วย ที่เปิดให้ประชาชนเข้ามาดูข้อมูลต่างๆ และใช้พื้นที่ทำกิจกรรมสาธารณะได้อย่างเต็มที่ แนวความคิดนี้ค่อยๆ เริ่มกระจายไปทั่วประเทศจนกลายเป็นเรื่องปกติที่หน่วยงานรัฐของเกาหลีใต้จะเปิดข้อมูลสาธารณะให้ประชาชนได้รับทราบ จนครั้งหนึ่งในช่วงที่ไวรัสโควิด-19 แพร่ระบาดใหญ่รอบแรก เกาหลีใต้มีการจัดการควบคุมการแพร่ระบาดได้ดีมาก มีการกระจายหน้ากากอนามัยอย่างเพียงพอแทบจะไม่ได้ยินข่าวการโกงกันเหมือนในอีกหลายประเทศ (รวมถึงไทยด้วย) จนนักข่าว BBC ต่อสายตรงไปสัมภาษณ์รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเกาหลีใต้ ว่าอะไรคือสาเหตุของความสำเร็จนี้ รัฐมนตรีท่านนี้ให้คำตอบง่ายๆ และกระชับว่า “ความโปร่งใสไงล่ะ”
สำหรับประเทศไทย ต้องบอกว่าเราก็ไม่ได้ย่ำแย่จนเกินไปนะครับ กระบวนการสร้างความโปร่งใส โดยเฉพาะการเปิดเผยข้อมูลสาธารณะก็เริ่มต้นมาบ้างแล้ว ถึงแม้จะยังไม่ครบถ้วนและยังไม่เป็นระบบที่ดีนัก โดยตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 ได้มีบทบัญญัติที่เกี่ยวข้องกับเรื่องข้อมูลข่าวสาร สาธารณะอยู่ในมาตรา 41 บุคคลและชุมชนย่อมมีสิทธิ (1) ได้รับทราบหรือเข้าถึงข้อมูลหรือข่าวสารสาธารณะในครอบครองของหน่วยงานรัฐตามที่กฎหมายบัญญัติ และมาตรา 59 รัฐต้องเปิดเผยข้อมูลหรือข่าวสารสาธารณะในครอบครองของหน่วยงานของรัฐที่มิใช่ข้อมูลเกี่ยวกับความมั่นคงของรัฐหรือเป็นความลับของทางราชการตามที่กฎหมายบัญญัติ และต้องจัดให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลหรือข่าวสารดังกล่าวได้โดยสะดวก ประโยคสุดท้ายนี่ล่ะครับที่เป็นประเด็น
ถ้าผู้อ่านอยากทราบว่าโครงการก่อสร้างถนนหน้าบ้านทำไมไม่เสร็จสักที หรือ ทำไมเพิ่งเสร็จก็พังเสียแล้ว ใครเป็นคนสร้าง ราคาเท่าไหร่มีเงื่อนไขอะไรบ้าง ท่านจะต้องรู้ชื่อโครงการนี้หรือรหัสโครงการอย่างถูกต้อง เพื่อเข้าไปค้นหาในเว็บไซต์ของหน่วยงานนั้นๆ หรือฐานข้อมูลกลางของกรมบัญชีกลาง (e-GP) ซึ่งยากมาก ในปีที่ผ่านมาองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) หรือ ACT จึงได้พัฒนาระบบ ACT Ai ที่รวบรวมข้อมูลจัดซื้อจัดจ้างของหน่วยงานรัฐ พร้อมข้อมูลที่เกี่ยวข้องทั้งหมดย้อนหลังไป 5 ปี มารวมกันไว้ที่เดียว และนำระบบการค้นหาคำใกล้เคียงมาช่วยให้ค้นหาข้อมูลโครงการต่างๆ ได้ง่ายขึ้น เหมือนค้นหาใน Google เลย แถมยังไปเชื่อมโยงกับข้อมูลอื่นๆ ด้วย เช่น ข้อมูลนิติบุคคลว่าใครเป็นกรรมการบริษัทที่ได้รับสัญญาจากหน่วยงานรัฐไปบ้าง เพื่อต่อไปจะไปตรวจสอบกับข้อมูลของ ป.ป.ช. หรือ ศาลทุจริต ได้อีกว่า กรรมการบริษัทไหนเคยถูกชี้มูลความผิดฐานทุจริตมาบ้างหรือไม่ เพื่อเป็นข้อสังเกตต่อความสุ่มเสี่ยงของการเกิดคอร์รัปชัน
เห็นไหมครับว่าการเปิดเผยข้อมูลนั้นมีประโยชน์มากแค่ไหน และถ้าประเทศไทยเราสามารถเริ่มต้นสร้างความโปร่งใสให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลสาธารณะต่างๆ เหล่านี้ได้ด้วยการสนับสนุนของเทคโนโลยีล้ำสมัยแล้ว ก็จะเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญในการแก้ไขปัญหาคอร์รัปชันอย่างยั่งยืนได้
ปัจจัยประการที่สอง คือการมีส่วนร่วมของประชาชน เมื่อสังคมมีความโปร่งใสแล้ว สิ่งสำคัญลำดับต่อมาคือการสร้างความร่วมมือจากประชาชนจำนวนมาก เพราะต่อให้เปิดเผยข้อมูลมากแค่ไหน แต่ถ้าไม่มีคนมาดูเลย ก็จะมีประโยชน์น้อยมาก ตัวอย่างหนึ่งที่ผมประทับใจมากคือ การนำเทคโนโลยีมาช่วยเรื่องนี้ในประเทศแอลจีเรีย ผ่านแอปพลิเคชั่นชื่อว่า DevelopmentCheck เพื่อตรวจสอบการก่อสร้างโครงการภาครัฐโดยเริ่มจากการก่อสร้างอาคารเรียนก่อน ปัญหาเดิมคือการที่วิศวกรจากหน่วยงานกลางไม่สามารถติดตามตรวจสอบการก่อสร้างอาคารได้ครอบคลุมครบถ้วน เพราะคนไม่พอบ้าง การเดินทางยากลำบากบ้าง จึงทำให้เกิดการคอร์รัปชันบ่อยครั้ง รัฐบาลจึงแนะนำให้ผู้ปกครองที่ต้องไปส่งบุตรหลานทุกวันใช้ ก่อนจะกลับบ้านก็ขอให้แวะไปถ่ายรูปอาคารที่กำลังสร้างอยู่แล้วส่งเข้าไปในระบบที่มีวิศวกรนั่งดูรูปและคอยแนะนำให้ถ่ายตามจุดต่างๆ ที่น่าสงสัยหรือควรตรวจสอบเพิ่มเติม แบบนี้วิศวกรเพียง 10 คนก็สามารถติดตามตรวจสอบการก่อสร้าง 100 โครงการทั่วประเทศได้ทุกวัน ด้วยความช่วยเหลือของประชาชน (หรือในกรณีนี้ผู้ปกครอง) จำนวนมาก ที่พร้อมจะช่วยอยู่แล้ว เพราะอยากให้อาคารเสร็จตามกำหนดและมีคุณภาพที่ดี
ในประเทศไทยก็มีหลายโครงการที่สามารถใช้เทคโนโลยีสนับสนุนการให้ประชาชนจำนวนมากเข้ามามีส่วนร่วมได้นะครับ โครงการหนึ่งที่น่าสนใจมากชื่อ “สังคมดี๊ดี 2 นาทีง่ายๆ” ที่เปิดให้ประชาชนที่ไปรับบริการจากหน่วยงานภาครัฐสามารถให้คะแนนความพึงพอใจและให้ติชมได้ ที่ไม่เหมือนกับกล่องรับความคิดเห็นโดยทั่วไปคือ เป็นการติด QR code ให้ใช้มือถือเปิดเข้าไปตอบคำถามและให้คะแนนง่ายๆ ใช้เวลาไม่เกิน 2 นาที และที่สำคัญดำเนินการจัดเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลโดยหน่วยงานเอกชนที่ไม่มีส่วนได้ส่วนเสียกับหน่วยงานรัฐ แบบนี้คนให้คะแนนก็ไม่กลัวว่าจะถูกเจ้าหน้าที่แกล้งในรอบหน้าที่มาหากเขียนติมากไปหน่อย และหน่วยงานรัฐก็ได้รับทราบผลวิเคราะห์อย่างตรงไปตรงมาเพื่อนำไปปรับปรุงการให้บริการประชาชนได้ด้วย โครงการนี้ดำเนินการโดยแนวร่วมต่อต้านคอร์รัปชันของภาคเอกชนไทย (Thai CAC) เป็นโครงการทดลองกับ 5 หน่วยงานรัฐ ในช่วงเวลาสั้นๆ เพียง 3 เดือน แต่กลับได้ความร่วมมือจากประชาชนอย่างมากมาย นับเป็นความสำเร็จที่ควรนำไปขยายผลต่อมาก
ประการสุดท้ายคือ กลไกการสร้างความรับผิดชอบ ซึ่งจริงๆ ก็เกิดจากการนำความโปร่งใสกับการมีส่วนร่วมมาเป็นองค์ประกอบ กลไกที่พูดถึงนี้มีตัวอย่างมากมายหลายประเทศทั่วโลก ในหลากหลายวงการด้วย ในประเทศเพื่อนบ้านเราก็ใช้กันแล้วอย่างแพร่หลาย เช่น ในประเทศฟิลิปปินส์ มีการนำแอปพลิเคชั่นชื่อ Check my School มาใช้ในการรับข้อร้องเรียนที่เกี่ยวกับโรงเรียนจากนักเรียน ครู ผู้ปกครอง และชาวบ้านในพื้นที่ โดยมีเจ้าหน้าที่ประจำจากกระทรวงศึกษาฯมารวบรวมเรียบเรียงข้อร้องเรียนเหล่านี้เพื่อแจ้งให้หน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องรับทราบและนำไปแก้ไข โดยจะมีกระบวนการแจ้งกลับและเปิดเผยข้อร้องเรียนต่างๆ ต่อสาธารณะด้วย เพื่อเป็นกลไกกดดันให้เจ้าหน้าที่รัฐต้องทำงานตอบสนอง ในประเทศเวียดนาม ที่เมืองดานัง มีการนำแอปพลิเคชั่นมาให้นักท่องเที่ยวใช้ เพื่อแจ้งว่าถูกโกงหรือเรียกรับสินบนอย่างไรบ้างไหม เรื่องต่างๆ จะได้รับการกลั่นกรองก่อนเปิดเผยสู่สาธารณะให้ประชาชนในพื้นที่ร่วมกดดันให้แก้ไข เพราะการท่องเที่ยวเป็นแหล่งที่มาของรายได้หลักของชุมชน หากนักท่องเที่ยวไม่พอใจแล้วไม่ลดจำนวนลง ก็จะกระทบกับทุกคนรวมถึงนักการเมืองท้องถิ่นด้วยที่จะไม่ได้รับความไว้วางใจจากประชาชนในพื้นที่
ประเทศไทยก็มีกลไกสร้างความรับผิดชอบแบบนี้อยู่บ้าง เช่น ปฏิบัติการหมาเฝ้าบ้าน หรือ เพจต้องแฉ ที่ทั้งรับเรื่องราวร้องเรียนจากประชาชนทั่วไป และ ร่วมตรวจสอบข้อเท็จจริงในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการคอร์รัปชันด้วย เพื่อนำข้อร้องเรียนเหล่านี้ไปเผยแพร่ในสื่อออนไลน์และส่งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำไปดำเนินการแก้ไขต่อไป อย่างไรก็ตามกลไกเหล่านี้ ยังไม่สามารถขยายขนาดผลกระทบได้มากนัก และ ยังขาดความร่วมมือจากภาครัฐอย่างเป็นระบบทำให้กลไกยังไม่สามารถสร้างความรับผิดชอบจากผู้มีอำนาจได้อย่างมีประสิทธิผลนัก
จากที่นำเสนอมา จะเห็นได้ว่า เทคโนโลยีมีความสำคัญอย่างมากต่อการแก้ไขปัญหาคอร์รัปชันในโลกยุคใหม่นี้ เพราะสามารถช่วยอำนวยความสะดวกในการสร้างความโปร่งใส สร้างการมีส่วนร่วมของประชาชน และสร้างกลไกความรับผิดชอบของผู้มีอำนาจได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม ถ้าคิดตามดีๆ จะเห็นว่าจริงๆ แล้วเทคโนโลยีเป็นเพียงเครื่องมือที่เร่งความเร็ว อำนวยความสะดวกให้ปัจจัยต่างๆ เกิดง่ายขึ้นเท่านั้น แต่สิ่งที่น่าจะสำคัญกว่าคือ หลักการพื้นฐาน หรือ แนวความคิดการทำงานที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลงจริงๆ
ในประเด็นนี้ มีตัวอย่างหนึ่งที่ผมไปได้ฟังมาตอนไปสัมมนาเรื่องการเปิดเผยข้อมูลของ UNDP ที่กรุงโซล เกาหลีใต้ โดยผู้แทนจากประเทศอัฟกานิสถาน เขาเล่าเรื่องของชายชาวอัฟกานิสถานคนหนึ่งที่ถูกเจ้าหน้าที่รัฐเรียกรับสินบน เขาไม่ยินดีที่จะจ่ายและต้องการจะร้องเรียน แต่พอร้องเรียนไปที่หน่วยงานนั้นเรื่องก็เงียบ แถมพอกลับไปอีกทียังถูกเจ้าหน้าที่ต่อว่ากลับมาอีก พอไปร้องเรียนหน่วยงานต้านโกงเรื่องก็เงียบ สุดท้ายเขาจึงตัดสินใจไปซื้อว่าวมา 1,000 ตัว แต่ละตัวเขียนข้อร้องเรียนติดไว้ เดินขึ้นไปที่ยอดเขา แล้วปล่อยว่าวให้ล่องลอยไปทั่วกรุงคาบูล ซึ่งเคยได้รับสมญานามว่าเป็นเมืองแห่งการเล่นว่าว ปรากฏว่าว่าวตัวหนึ่งบังเอิญลอยไปตกในทำเนียบประธานาธิบดี ขณะที่ประธานาธิบดีกำลังเดินผ่านพอดี เลยหยิบมาอ่าน เพียงเท่านั้นปัญหาของเขาก็ได้รับการแก้ไขในทันที
ผมไม่ได้ตั้งใจจะเล่าเรื่องนี้เพราะจะบอกให้เรามาเล่นว่าวติดข้อร้องเรียนกันนะครับ เพียงแต่จะเล่าในอีกมุมหนึ่งว่า การสร้างกลไกการร้องเรียนอาจจะไม่จำเป็นต้องเริ่มต้นด้วยเทคโนโลยีเสมอไป เทคโนโลยีเป็นเครื่องมือที่ทำให้เราไม่ต้องซื้อว่าวมา 1,000 ตัวและปล่อยลอยไปทั่วเมือง ซึ่งถ้าทำแบบนั้นในไทยอาจถูกจับก็ได้ เพียงแต่อยากสื่อว่าในสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกัน ก็อาจจะมีวิธีการสื่อสารหรือกลไกที่มีประสิทธิภาพที่แตกต่างกันออกไปได้
ประเทศอินโดนีเซียเป็นตัวอย่างที่ดีที่ก็มีการนำกลไกสร้างความรับผิดชอบคล้ายๆ กับที่ฟิลิปปินส์และเวียดนามใช้ แต่เขารู้ว่าประชาชนในหลายพื้นที่ไม่มีมือถือที่เชื่อมต่อสัญญาณอินเตอร์เนต อินโดนีเซียจึงสร้างกลไกรับเรื่องร้องเรียนคล้ายๆ กัน แต่สามารถรับจากการโทรศัพท์ ส่งข้อความ หรือส่งเป็นกระดาษมาก็ได้ โดยนำข้อร้องเรียนต่างๆ นั้น มาเข้าสู่กระบวนการเปิดเผยต่อสาธารณะ เพื่อกดดันหน่วยงานรัฐเหมือนกัน
ดังนั้น สำหรับประเทศไทย วันนี้เราพอจะรู้แล้วว่าขั้นตอนและปัจจัยในการต่อต้านคอร์รัปชันอย่างมีประสิทธิผลคืออะไร เราจะต้องมาคิดหากระบวนการและระบบที่มีประสิทธิภาพมาช่วยในการเสริมสร้างปัจจัยเหล่านี้ให้เกิดขึ้นได้ โดยไม่ได้เอาเทคโนโลยีมาเป็นปัจจัยตั้งต้น ว่าจะใช้เทคโนโลยีได้อย่างไร แต่คิดหาระบบและกระบวนการให้ได้ก่อน แล้วนำเทคโนโลยีมาเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาให้ระบบดังกล่าวมีประสิทธิภาพและสามารถขยายผล สร้างผลกระทบได้อย่างครอบคลุมและยั่งยืน
รศ.ดร.ต่อตระกูล ยมนาค และ ผศ.ดร.ต่อภัสสร์ ยมนาค
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี