ใครก็ตามที่ติดตามข่าวการตั้งใจชุมนุมประท้วงทางการเมืองโดยคนกลุ่มหนึ่งที่อาศัยสถานะความเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (โดยใช้ชื่อกลุ่มต่างๆ นานา จนประชาชนสับสนและเวียนหัว) ซึ่งนำโดยพริษฐ์ ชิวารักษ์ และปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล น่าจะต้องรู้ดีมาโดยตลอดว่า ทุกครั้งเมื่อเกิดการประท้วงแบบซ้ำๆ ซากๆ จำเจและวนเวียน แต่พุ่งประเด็นสำคัญเรื่องหนึ่งไปที่การแสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่ต้องการสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยหลายครั้งพบด้วยว่าจงใจหมิ่นพระบรมเดชานุภาพด้วยรูปแบบต่างๆ
มีผู้ถามว่า กี่ครั้งกี่หนมาแล้วที่คนกลุ่มนี้ก่อการประท้วง แล้วกี่ครั้งกี่หนที่การประท้วงจบลงด้วยความรุนแรง แต่ถึงกระนั้น สาธารณชนยังคงเห็นภาพของพริษฐ์ และปนัสยา เข้าไปเกี่ยวข้องในฐานะผู้นำการประท้วงเสมอมา
ที่ผ่านมานั้น สาธารณชนตั้งคำถามตัวโตๆ กับศาลว่าเหตุใดอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวกลุ่มคนที่ก่อเหตุประท้วงที่นำมาซึ่งความรุนแรง และเหตุใดจึงปล่อยให้ผู้ประท้วงสามารถแสดงกิริยา ท่าทาง และคำพูดต่างๆ รวมถึงองค์ประกอบอื่นๆ ที่บ่งบอกได้ชัดเจนว่าเข้าข่ายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ
จนกระทั่งวันหนึ่ง ศาลไม่อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวผู้ต้องหาที่ก่อเหตุซ้ำซากอีกต่อไป หลังจากอนุญาตมาแล้วทุกครั้ง ครั้นเมื่อศาลไม่อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวอีก เพราะพิเคราะห์อย่างถี่ถ้วนแล้วเห็นว่าผู้ต้องหากลุ่มนี้จงใจก่อการประท้วงโดยผิดกฎหมายร้ายแรง และยังแสดงให้เห็นว่าไม่สำนึกในความเมตตาของศาลที่อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวมาโดยตลอด
เมื่อศาลไม่อนุญาตให้ประกันตัวอีก ก็มีเรื่องน่าสังเวชใจเกิดขึ้นตามมา ซึ่งเป็นเรื่องที่เกิดจากกลุ่มคนสอนหนังสือชนิดหนึ่งจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยคนกลุ่มนี้พยายามกล่าวหาราวกับว่าศาลไม่ยุติธรรม เหตุเพราะไม่อนุญาตให้ปล่อยตัวผู้ต้องหา (เรื่องกล่าวหาศาลทำนองนี้ได้เกิดขึ้นในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยมาแล้วเมื่อกลางสัปดาห์นี้)
เมื่อคนสอนหนังสือกลุ่มนี้ออกมาเคลื่อนไหวเชิงกดดันศาล ก็ทำให้คนกลุ่มอื่นในสังคมตั้งคำถามกลับไปยังคนสอนหนังสือจำพวกนี้ว่า แล้วที่ผ่านมานั้นเคยสำนึกในความกรุณาของศาลบ้างหรือไม่ แล้วที่ผ่านมานั้นคนสอนหนังสือกลุ่มนี้มีปัญญาดูแลเด็กกลุ่มที่ก่อเหตุบ้างหรือไม่ หรือว่าจริงๆ แล้วคนสอนหนังสือกลุ่มนี้จงใจหลอกให้เด็กออกไปเคลื่อนไหวทางการเมืองแทนพวกตน เพราะคนสอนหนังสือกลุ่มดังกล่าวขี้ขลาดตาขาวไม่กล้าออกไปประท้วงด้วยตัวเอง เพราะเกรงภัยอันตรายต่างๆ และรู้ดีว่าผิดกฎหมาย
คนสอนหนังสือกลุ่มนี้อ้างแบบน่าสมเพชว่า ศาลสมควรจะต้องปล่อยตัวชั่วคราวเด็กทั้งสองคน โดยอ้างเหตุผลเลื่อนลอยไร้สาระว่า เนื่องจากทั้งสองยังเป็นนักศึกษาของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ที่จะต้องเล่าเรียนและต้องสอบประจำกลางภาคการศึกษา (เรื่องสอบกลางภาคเป็นข้ออ้างที่ไร้สาระที่สุดสำหรับผู้กระทำผิดซ้ำซาก หากอนุญาตให้คนทำผิดซ้ำซากออกจากที่คุมขังไปสอบได้ ก็ต้องอนุญาตให้นักโทษคดีอื่นที่ต้องโทษออกไปสอบได้เช่นกัน เพราะนักโทษหลายคนก็ยังมีสถานภาพของนักศึกษา)
สาธารณชนที่รู้ทันกลเกมการเมืองของคนสอนหนังสือจากธรรมศาสตร์กลุ่มนี้ถามกลับตรงๆ ว่า คนสอนหนังสือต้องการหาเหยื่อเพื่อใช้เป็นตัวแทนของตนในการประท้วง ใช่หรือไม่ และมีคำถามว่า ถามจริงๆ ขอประกันตัวเด็กสองคนมากี่ครั้งแล้ว และทุกครั้งที่ศาลให้ประกันตัว มีอะไรดีขึ้นบ้าง มีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ปรับเปลี่ยนนิสัยหรือไม่ ให้ประกันแล้วก็ยังจงใจทำผิดเหมือนเดิมทุกครั้งไป แล้วจะให้ประกันหรือปล่อยตัวชั่วคราวเพื่ออะไร หรือเพื่อให้เด็กออกไปเป็นเครื่องมือให้คนสอนหนังสือใช้ทำงานการเมืองแทนตัวเองอีก มีคำถามอีกว่าคนสอนหนังสือตอบได้ไหมว่า การจงใจทำผิดซ้ำซากเป็นประจำคือลักษณะสำคัญของผู้บริสุทธิ์ เช่นนั้นหรือ หรือคนสอนหนังสือจะอ้างว่า ในเมื่อศาลยังไม่ตัดสิน ก็ยังคงเป็นผู้บริสุทธิ์ ถ้าเช่นนั้นก็ต้องถามกลับอีกว่า ในเมื่อนักศึกษาจงใจทำผิดในเรื่องเดิมๆ ตลอด ซึ่งตำรวจจับได้ทุกครั้งพร้อมหลักฐานแน่นหนา ยังจะหมายความว่าคนผู้นั้นเป็นผู้บริสุทธิ์ อีกหรือ หรือคนสอนหนังสือกลุ่มนี้จากธรรมศาสตร์จะประกาศตรงๆ ว่าจงใจล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ ไม่ผิดกฎหมาย และหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ไม่ผิดกฎหมาย
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี