ดูจะเป็นเรื่องธรรมดาๆ ไปเสียแล้ว ที่ในการลงคะแนนเสียงในสภา ไม่ว่าจะเป็นข้อมติ เรื่องกฎหมาย และโดยเฉพาะเรื่องการอภิปรายไม่ไว้วางใจคณะรัฐมนตรี ที่มักจะมีผู้แทนราษฎรบางคน บางกลุ่ม ลงคะแนนเสียงสวนทางกับมติ หรือคำสั่งของพรรคต้นสังกัดของตนเอง
ก็เลยมีศัพท์การเมืองไทยว่า พวกสวนทาง หรือพวกออกนอกลู่นอกทางนี้ว่าเป็นพวก “งูเห่า”
ดูๆ ไปแล้วพรรคการเมืองทั้งฝ่ายรัฐบาล และฝ่ายค้านต่างก็มีงูเห่ากันทั้งนั้น ครั้นจะเลี้ยงไว้เองก็คงกระไรอยู่ เพราะเป็นการผิดธรรมชาติ แต่จะยอมปล่อยตัวไปให้พรรคอื่น ก็เกรงจะเสียคะแนนค้ำโควตาตำแหน่งต่างๆ ของกลุ่มตนในรัฐบาล ก็เลยออกมาในรูปแบบหวานอมขมกลืน แอบแฝงเลี้ยงให้พรรคอื่นๆ ไปจนกว่าจะมีการเลือกตั้งครั้งหน้าค่อยว่ากัน
ซึ่งข้อเท็จจริงของพฤติกรรมที่ถูกนิยามว่างูเห่านี้ ควรได้รับการทบทวนกันให้ดี ด้วยคำถามที่ว่าผู้แทนราษฎรจำเป็นต้องลงคะแนนเสียงตามมติ ตามคำสั่งพรรคทุกเมื่อโดยเด็ดขาดจะเป็นอื่นมิได้ หรือว่า ผู้แทนราษฎรนั้นมีสิทธิส่วนตัวที่สามารถเลือกลงคะแนนเสียงไปตามความคิดเห็นของตนเอง ซึ่งอาจจะเหมือน หรือต่างไปจากพรรคต้นสังกัดของตนได้กันแน่?
ระบอบประชาธิปไตยโดยปกติแล้ว ที่มาของการตัดสินใจของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (รวมถึงบรรดาสมาชิกวุฒิสภา) ว่าจะกดปุ่ม หรือหยอดบัตรลงคะแนนเสียงนั้น พอจะแบ่งได้เป็น 4 แบบด้วยกัน ได้แก่
1. ด้วยสติสัมปชัญญะ ความรู้สึกนึกคิด ว่าด้วยความถูกต้องชอบธรรม (Conscience)
2. ด้วยความประสงค์หรือเสียงเรียกร้อง หรือแรงกดดันจาก “ลูกบ้าน” ในเขตเลือกตั้งของผู้แทนราษฎรนั้น กล่าวคือการสะท้อนความรู้สึกนึกคิดของสาธารณชนโดยทั่วไป
3. ด้วยมติหรือคำสั่งพรรคการเมืองต้นสังกัด ซึ่งรวมไปถึงการเห็นพ้องต้องกันระหว่างกลุ่มพรรคการเมืองฝ่ายรัฐบาล หรือกลุ่มฝ่ายค้าน
4. ด้วยการเป็นมือปืนรับจ้างทางการเมือง ซึ่งผู้ที่จะทำแบบนี้ ก็คือคนที่ตกต่ำในสภาวะจิตใจและศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์เท่านั้น
แล้วผู้แทนราษฎรควรจะใช้หลักไหนเป็นตัวนำพาในการตัดสินใจกันแน่?
คำตอบก็น่าจะขึ้นอยู่กับผู้แทนราษฎรนั้นๆ ว่า จะสามารถชี้แจงแถลงไขถึงเหตุผลในการลงคะแนนเสียงของตนต่อสาธารณชนได้ชัดเจนหรือไม่ หลังจากทำการออกเสียงไปแล้ว?
ในหลายๆ ประเทศประชาธิปไตยก็มักจะมีข่าวอยู่เสมอว่า ผู้แทนราษฎรลงคะแนนตามเสียงสะท้อนของประชาชนพลเมืองในเขตเลือกตั้งของตนเป็นหลัก หรือไม่ก็จิตสำนึกของความถูกต้องชอบธรรม ก็ทำให้บางครั้งเป็นการตัดสินใจลงคะแนนเสียงที่ต่างไปจากมติพรรค เช่น ในกรณีการขอเพิ่มงบประมาณเพื่อกองทัพ หรือในกรณีการไปออกศึกสงครามในต่างแดน เป็นต้น
ทั้งนี้ทั้งนั้น หากการชี้แจงว่าด้วยเหตุผลของการลงคะแนน “ฟังขึ้น” ก็ไม่น่าจะเป็นปัญหาอะไรกับต้นสังกัด
ส่วนการที่พรรคต้นสังกัดจะไป “ลงโทษ” บรรดาผู้แทนราษฎรที่ไม่ทำตามมติพรรค พรรคเองควรพิจารณาให้ดี เพราะหลักปฏิบัติที่เป็นสากลในระบอบประชาธิปไตยนั้น ได้กำหนดการออกเสียงของผู้แทนราษฎร เป็นการลงคะแนนเสียงตามความสมัครใจ หรือการโหวตโดยเสรี (free vote) ดังที่ระบุไว้ว่าการออกเสียงถือเป็นเอกสิทธิ์ส่วนตัวของ สส.แต่ละท่าน
ส่วนหากพรรคต้นสังกัดจะไม่พึงพอใจในการตัดสินใจของผู้แทนราษฎรท่านใด ก็ต้องพิจารณาให้ชัดเจนว่า การสวนมตินั้นขัดกับอุดมการณ์ของพรรคที่ประกาศไว้กับสาธารณชนหรือไม่? หากไม่ขัดกัน ก็แปลว่าผู้แทนราษฎรท่านนั้นไม่ได้ขัดกับจุดยืนของพรรค เพียงแต่เห็นต่างในรายละเอียด พรรคไม่มีสิทธิ์ที่จะไปบังคับ ทำได้อย่างมาก ก็ไม่ส่งผู้แทนราษฎรท่านนั้นลงเป็นตัวแทนพรรคในการเลือกตั้งครั้งต่อไป
ตรงกันข้ามกับเมื่อการสวนมติของผู้แทนราษฎรท่านนั้นขัดกับจุดยืนหรืออุดมการณ์ของพรรค ในกรณีนี้คงไม่สามารถร่วมทางกันต่อไปได้ ซึ่งรัฐธรรมนูญได้เปิดช่องให้พรรคสามารถทำการขับผู้แทนราษฎรท่านนั้นออกจากพรรค เพื่อให้ไปหาพรรคการเมืองที่มีอุดมการณ์ตรงกันสังกัดแทน หรือในกรณีที่ คำอธิบายในการสวนมติพรรค ของผู้แทนราษฎรท่านนั้นฟังไม่ขึ้น ดูแล้วจะเป็นการรับอามิสสินจ้าง เพื่อมาเป็นมือปืนรับจ้างโหวตสวนมติ ก็สมควรถูกไล่ออกจากพรรคไปเช่นกัน
กติกาเหล่านี้ ถือเป็นเครื่องเตือนสติบรรดาผู้แทนราษฎรให้ได้ทำการคิดอ่านให้รอบคอบ ก่อนตัดสินใจ และต้องมองเส้นทางการเมืองในระยะปานกลางด้วย มิใช่แค่เฉพาะหน้า
ทั้งนี้ทั้งนั้นการเปิดให้เป็นฟรีโหวตลงคะแนนเป็นอิสระ ก็จะช่วยผ่อนคลายความขัดแย้งภายในพรรค และระหว่างกลุ่มพรรคฝ่ายรัฐบาลกับกลุ่มพรรคฝ่ายค้าน และความรับผิดชอบทั้งหมดก็จะอยู่ที่ตัวผู้แทนนั้นๆ ในการชี้แจงแถลงไขต่อสาธารณชนว่า ลงคะแนนด้วยเหตุผลอันใด
และฉะนั้น ประเด็นปัญหาการเลี้ยงงูเห่า หรือการทำตนให้เป็นงูเห่าก็คงจะจางหายไป ผู้แทนราษฎรจะได้มีโอกาสขจัดความแคลงใจ และทำตนให้เหมาะสมกับคำมั่นสัญญาที่ได้ให้ไว้กับสาธารณชน และการดำรงตนอย่างมีเกียรติและมีศักดิ์ศรี
ส่วนที่มีพฤติกรรมเป็นงูเห่าตัวจริง คือรับอามิสสินจ้างมาก็เป็นเรื่องที่พรรคการเมืองนั้นๆ จะต้องจัดการให้เด็ดขาดเท่านั้น หากมัวเกรงอกเกรงใจเพราะกลัวว่าจำนวนผู้แทนราษฎรของตนจะน้อยลง แทนที่จะยึดมั่นกับหลักการและความถูกต้อง ก็ถือเป็นกรรมของพรรคนั้นๆ ที่จะต้องอุ้มงูเห่าไว้ในอ้อมกอดตน และถือเป็นผู้ร่วมทำลายระบบรัฐสภาประชาธิปไตยไปโดยปริยาย
และทั้งหมดนี้ ทั้งพรรคการเมือง และบรรดาสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จะต้องเคารพประชาชนพลเมืองเป็นหลัก ซึ่งการใดที่ทำไปโดยข้อเท็จจริง บนพื้นฐานหลักความชอบธรรมแล้ว แม้จะมีความเห็นต่างจากพรรคตน ก็ยังสามารถยืดอกได้ และไม่มีอะไร หรือผู้ใดจะขวางกั้นความคิดเห็นที่สุจริตได้
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี