ที่ประชุมร่วมรัฐสภาเมื่อวานนี้ต่อกรณี การแก้ไขรัฐธรรมนูญ มีอันต้องเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขอันเนื่องจากคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งนำไปสู่การตีความและการเปลี่ยนยุทธศาสตร์ทางการเมืองของทั้งพรรคฝ่ายค้าน และพรรคร่วมรัฐบาลที่ไม่ใช่พรรคพลังประชารัฐ?
จากเดิมคือจะมีวาระประชุมสมัยวิสามัญร่วมกัน ในประเด็นเรื่องการลงมติวาระสาม ว่าจะเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบต่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นไปตามขั้นตอนที่รัฐธรรมนูญมาตรา 256 กำหนดไว้ แต่ก็มีเหตุการณ์เข้ามาแทรกทำให้ต้องเปลี่ยนแปลง จากกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญมีการเผยแพร่คำวินิจฉัยกลางออกมา โดยศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยไปว่า จะต้องมีการลงประชามติก่อน จึงนำไปสู่ประชุมและอภิปรายว่า สภาจะทำอย่างไรต่อไปจากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญแทน กับประเด็นที่ว่าในการลงมติวาระสามนี้นั้น สามารถทำได้เลยหรือไม่ ? หรือต้องตกไป ?
โดยข้อความที่เป็นที่ถกเถียงกัน ระบุไว้ว่า “การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ด้วยวิธีการร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม ให้มีหมวด 15/1 ย่อมมีผลเป็นการยกเลิกรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 อันเป็นการแก้ไขหลักการสำคัญที่ผู้มีอำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญดั้งเดิม ต้องการปกป้องคุ้มครองไว้ หากรัฐสภาต้องการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ต้องจัดให้ประชาชนผู้ทรงอำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญออกเสียงประชามติเสียก่อน ว่าสมควรมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่”
ผลของคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่หลายฝ่ายเห็นไม่ตรงกันนี้ จะนำไปสู่การเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่ของการร่างรัฐธรรมนูญใหม่หรือไม่? และนอกจากนับหนึ่งใหม่แล้วรูปแบบและวิธีการที่แตกต่างกันก็จะนำไปสู่การใช้ระยะเวลาที่ต่างกันด้วย
จากการอภิปรายในสภาเมื่อวานนี้ รัฐสภาได้ร่วมกันพิจารณาหาแนวทางการปฏิบัติตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ โดยมีแนวทางที่ดูเหมือนจะมุ่งไปสามแนวทาง คือ (1.) เป็นแนวทางที่เสนอโดยฝ่ายค้าน คือ ให้รัฐสภาทำหน้าที่ ตามที่มีหน้าที่และอำนาจในการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญฉบับที่….พ.ศ….. ในวาระที่สาม ต่อไป นั่นคือให้มีการลงมติตามขั้นตอนต่อไปได้ทันที (2.) เสนอโดยนายจุรินทร์ คือให้รัฐสภาพิจารณาชะลอการลงมติเอาไว้ก่อนและส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเรื่องหน้าที่และอำนาจอีกหนึ่งครั้ง เพื่อให้เกิดความชัดเจนในสองประเด็น คือ ขอบเขตอำนาจของรัฐสภาในการโหวตวาระสาม สามารถทำได้หรือไม่? และรัฐสภาสามารถแก้ไขรัฐธรรมนูญให้มีหมวด 15/1 เพื่อนำไปสู่การตั้ง ส.ส.ร. เพื่อจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ได้หรือไม่? (3.) เสนอโดยฝ่าย สว. คือเสนอว่า สิ่งที่ทำมาแล้วใน วาระหนึ่ง และ วาระสองที่ผ่านมาถือว่าเป็นโมฆะไป เพราะคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ คือให้ไปทำประชามติก่อนที่จะมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือก่อนที่จะมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ดังนั้น ต้องไปเริ่มจากการทำประชามติเสียก่อน และเริ่มวาระหนึ่งใหม่อีกครั้งหนึ่ง
จากคำวินิจฉัยกลางที่ออกมาก่อนหน้านี้นั้น แม้นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี จะบอกว่า “ไม่ทราบและไม่กล้าตอบ แต่ผมเข้าใจเรื่องแล้ว และเชื่อว่า สมาชิกรัฐสภาอ่านแล้วก็คงจะเข้าใจ เพราะพวกท่านไม่ใช่กระรอกไม่จำเป็นต้องชี้โพลง” ก็ตาม แต่ผลของคำวินิจฉัยอาจทำให้ถูกมองว่ากระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญอาจต้องทอดเวลาออกไปอีกไม่น้อย ซึ่งหากมองในทางการเมืองอาจเกิดผลบวกลบทางการเมืองต่อแต่ละฝ่ายต่างกัน?
แต่ที่น่าสังเกตคือพรรคร่วมรัฐบาล กลับออกมาแสดงท่าที ที่อาจไม่สอดคล้องกันเท่าไร? ซึ่งบางส่วนบางคนดูเหมือนว่าจะคล้อยตามไปในทิศทางของฝ่ายค้านหรือไม่?
โดยวิปรัฐบาลได้เสนอ แนวทางเดียวกับ สว.แต่พรรคร่วมรัฐบาล ทั้งพรรคประชาธิปัตย์ และภูมิใจไทย มีการแสดงท่าทีที่ต่างออกไป
หรือไม่ ? โดยก่อนหน้านี้ สส. ของพรรคภูมิใจไทยหลายคนออกมาแสดงเจตนาว่าต้องการเดินหน้าต่อในเรื่องการแก้รัฐธรรมนูญ แม้จะไม่ได้ระบุชัดๆ ว่าจะเดินหน้าด้วยวิธีใด
ในขณะที่ประชาธิปัตย์นั้นมีความเห็นที่หลากหลายออกไป โดยก่อนหน้านี้ แม้นายชวน ประธานสภาฯ ที่ได้ออกมากล่าวว่า “เดิมลงมติวาระ 3 ได้ เพราะเป็นไปตามรัฐธรรมนูญ แต่เมื่อคำวินิจฉัยกลางออกมา ก็ต้องเปลี่ยนแปลง เพราะศาลมองว่าการแก้ไขครั้งนี้เป็นการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่” แต่นายแพทย์สุกิจในฐานะที่ปรึกษาประธานรัฐสภา ก็ได้ออกมาแสดงความเห็นก่อนหน้าวันอภิปรายว่า “การลงมติในวาระสามนั้นสามารถทำได้ เพราะการแก้ไขรัฐธรรมนูญรอบนี้คือการแก้ไขเพิ่มเติม ไม่ใช่เป็นการทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ที่ศาลรัฐธรรมนูญระบุว่าต้องนำไปทำประชามติถามประชาชนก่อน” แต่อย่างไรก็ตามความเห็นของพรรคประชาธิปัตย์ครั้งนี้ก็นับว่าหลากหลาย ไปตามกลุ่มต่างๆ ที่มีอยู่ในพรรค
โดยในวันประชุมรัฐสภาเมื่อวานนี้นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ หัวหน้าพรรคแม้ไม่ได้บอกให้เดินหน้าต่อตามฝ่ายค้านหรือกลุ่มการเมืองในพรรคบางคนเสนอ แต่ก็ไม่ได้เสนอให้ปัดตกตามที่ สว.เสนอ โดยเสนอให้แขวนไว้ก่อนเพื่อรอสอบถามศาลรัฐธรรมนูญในรายละเอียดที่ตีความไม่ได้ จึงอาจเป็นแนวทางที่เหมือนทอดเวลาแต่ไม่ได้คว่ำ ซึ่งเท่ากับเกมนี้ยังไม่จบอาจเดินต่อไปได้หรือไม่? อย่างไรก็ตามเสียงในสภาของพรรคพลังประชารัฐร่วมกับ สว.ก็นับเป็นคะแนนเสียงที่ไม่น้อย
อย่างไรก็ตาม ความเห็นต่างของพรรคร่วมใหญ่สองพรรคนี้ ก็นับว่ามีปัจจัยไม่น้อยต่อการเดินหน้าต่อในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ร่วมเดินหน้าต่อของรัฐบาล ซึ่งกำลังอยู่ในช่วงที่นายกรัฐมนตรีจะปรับครม.พอดี?
ก่อนหน้านี้มีข่าวว่าประชาธิปัตย์อาจถูกริบเก้าอี้หรือปรับเก้าอี้หรือไม่ ตลอดจนพรรคภูมิใจไทยที่มีสส.มากขึ้น เมื่อเทียบกับสัดส่วนเก้าอี้รัฐมนตรี อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรีก็ออกมายืนยันแล้วว่าให้แต่ละพรรคไปจัดการของตนเอง แต่ก็ยังเหลือปัจจัยหมุนเก้าอี้ที่ก็ไม่รู้ว่านายกฯจะสลับเก้าอี้อะไรกระทรวงไหนของพรรคร่วมหรือไม่?
ประเด็นนี้ที่หลายฝ่ายกังวลตอนแรกก็คือ การเคลื่อนไหวนอกสภาของกลุ่มผู้ชุมนุม แต่ตั้งแต่หลังคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญออกมาจนถึงเมื่อวานก็ยังไม่มีการเคลื่อนไหวที่จริงๆ จังๆ ของกลุ่มผู้ชุมนุมต่อเรื่องนี้? ซึ่งก็ดูน่าจะแปลกไปสักหน่อย แต่ก็เชื่อว่าอีกสักพักคงออกมาเคลื่อนไหว
และจะยิ่งเป็นการสร้างความชอบธรรมในการชุมนุมของกลุ่มผู้ชุมนุมให้กลับมาอีกครั้งหรือไม่? แต่ต้องยอมรับว่าในช่วงหลังๆ ที่ผ่านมากลุ่มผู้ชุมนุมดูเหมือนไม่ค่อยชูเรื่องการแก้รัฐธรรมนูญเหมือนในช่วงแรกเท่าไหร่ แต่ไปมุ่งเรื่องการช่วยแกนนำกลุ่มผู้ชุมนุมแทน? ตลอดจน
พบประเด็นขัดแย้งภายใน เรื่องเงินบริจาค
จากประเด็นข่าวมีคนไปตรวจสอบบัญชีแกนนำบางคนก็พบว่ามีเงินอยู่หลายล้านบาทจึงได้กลายมาเป็นการตั้งคำถามต่อการบริหารภายในกันเองต่อความโปร่งใส ? ตลอดจนอำนาจภายในแกนนำ โดยแม้ประกาศออกมาเสมอว่าไม่มีแกนนำก็ตาม จึงทำให้ประเด็นจากกรณีการแก้รัฐธรรมนูญครั้งนี้ที่อาจต้องไปเริ่มต้นใหม่ จึงไม่ได้รับการพูดถึงหรือนำเสนอในกลุ่มผู้ชุมนุมเท่าไรนัก
“ธรรมดาผู้มีปัญญาอันพิสดาร แม้จะคิดการสิ่งใดก็ลึกซึ้ง ผู้มีปัญญาน้อยหาหยั่งรู้ถึงตลอดไม่ อุปมาเหมือนพญาครุฑ แม้จะไปในทิศใดก็ย่อมบินโดยอากาศอันสูงสุดสายเมฆ มิได้บินต่ำเหมือนสกุณชาติซึ่งมีกำลังน้อย”
จูกัดเหลียง (ขงเบ้ง) สามก๊ก ฉบับ เจ้าพระยาพระคลัง (หน)
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี