1.“ผมคงไม่ร่วมสังฆกรรมด้วยกับพวกฉ้อฉล ศรีธนญชัย โกหก ปลิ้นปล้อน ไร้สาระสิ้นดี นี่คือ สภาโจ๊ก”การประกาศของ “นายชาดา ไทยเศรษฐ์” สส.อุทัยธานี และรองหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย กลางรัฐสภา เกิดขึ้นหลังจากที่ “นายไพบูลย์ นิติตะวัน” สส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ได้เสนอญัตติให้ที่ประชุมรัฐสภาพิจารณาดำเนินการตามระเบียบวาระเรื่องด่วน (ร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม ม.256 เพิ่มหมวด 15/1) ซึ่งที่ประชุมมีมติเห็นชอบญัตติดังกล่าวด้วยคะแนน 473 ต่อ 127 เสียง งดออกเสียง 39 เสียง ไม่ลงคะแนน 5 เสียง ส่งผลให้ญัตติอื่นๆ ที่สมาชิกรัฐสภาหาข้อตกลงกันมาตลอดทั้งวัน (17 มีนาคม 2564) ต้องตกและหมดความหมายไป
นี่เป็นผลสืบเนื่องมาจากการที่นายไพบูลย์ นิติตะวัน และ “นายสมชาย แสวงการ” สมาชิกวุฒิสภาพร้อมคณะ ได้ยื่นญัตติในการส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า รัฐสภามีอำนาจและหน้าที่ในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับหรือไม่และที่ประชุมรัฐสภาก็มีมติเห็นด้วย (คะแนน 366ต่อ 316 งดออกเสียง 15)
จากนั้นศาลรัฐธรรมนูญก็มีการเผยแพร่คำวินิจฉัยออกมาในวันที่ 11 มีนาคม 2564 โดยศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า “การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ด้วยวิธีการร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม ให้มีหมวด 15/1 ย่อมมีผลเป็นการยกเลิกรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 อันเป็นการแก้ไขหลักการสำคัญที่ผู้มีอำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญดั้งเดิม ต้องการปกป้องคุ้มครองไว้ หากรัฐสภาต้องการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ต้องจัดให้ประชาชนผู้ทรงอำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญออกเสียงประชามติเสียก่อน ว่าสมควรมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่” ซึ่งก็แน่นอนว่า แต่ละฝ่ายทั้งที่เห็นด้วยกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยการตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) และไม่เห็นด้วย อยากให้แก้ไขเป็นรายมาตรา ก็ตีความคำวินิจฉัยไปใน 2 ทาง คือ รัฐสภาสามารถลงมติวาระสามของญัตติการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ม.256
เพิ่มหมวด 15/1 ที่นำไปสู่การตั้ง ส.ส.ร. ได้หรือไม่ และต้องทำอย่างไร (ลงประชามติก่อนโหวต หรือโหวตก่อนค่อยไปลงประชามติ)
2.และความสับสนของสมาชิกรัฐสภาและประชาชนก็ยิ่งทวีมากขึ้นไปอีก เมื่อมีคำวินิจฉัยกลาง (มีรายละเอียดครบถ้วน) ออกมา และประเด็นที่ทำให้เกิดเหตุการณ์วุ่นวายในรัฐสภาเมื่อวันที่ 17 มีนาคมที่ผ่านมา ตามที่ได้นำเสนอไปแล้วในเบื้องต้นก็คือ การแปลเจตนารมณ์ของข้อความที่ว่า “การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญจึงต้องอยู่ในเงื่อนไขที่มีความผูกพันกับรัฐธรรมนูญฉบับเดิม ยึดโยงกับหลักการพื้นฐานและให้เหมาะสมและสอดคล้องกับมติมหาชน รัฐธรรมนูญ 2560 หมวด 15 เพียงบัญญัติให้สามารถแก้ไข เพิ่มเติมรัฐธรรมนูญได้เท่านั้น ไม่มีบทบัญญัติให้จัดทำขึ้นใหม่ทั้งฉบับ การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ด้วยวิธีการร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมให้มีหมวด 15/1 ย่อมมีผลเป็นการยกเลิกรัฐธรรมนูญ 2560 อันเป็นการแก้ไขหลักการสำคัญที่ผู้มีอำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญดั้งเดิมต้องการปกป้องคุ้มครองไว้”
นี่เองจึงนำไปสู่การตีความในความหมายอันเข้มข้นที่ว่า การโหวตวาระ 3 ของรัฐสภาในการแก้ไขเพิ่มเติม ม.256 เพิ่มหมวด 15/1 เป็นสิ่งที่ไม่สามารถกระทำได้
ขัดต่อรัฐธรรมนูญ จน “นายศรีสุวรรณ จรรยา” เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย และ “นางสาวปารีณา ไกรคุปต์” สส.ราชบุรี พรรคพลังประชารัฐ ออกมาขู่ว่า จะฟ้องคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ให้เอาผิดกับสมาชิกของรัฐสภาที่ร่วมทำการโหวต ส่วนฝ่ายที่มีความเห็นด้วยในการเดินหน้าโหวตวาระ 3 เพื่อปิดทางในการตั้ง ส.ส.ร. แล้วค่อยไปทำประชามติ ก่อนและหลังจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ (โดย ส.ส.ร.) ก็บอกว่าถ้าไม่มีการโหวตในวาระ 3 ก็จะไปฟ้องมาตรา 157 (ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ หรือไม่ปฏิบัติหน้าที่) ต่อสมาชิกรัฐสภาที่ไม่ทำการตามกระบวนการของฝ่ายนิติบัญญัติ ซึ่งได้รับการระบุอำนาจหน้าที่ไว้ในรัฐธรรมนูญอย่างถูกต้องเช่นกัน ความสับสนที่เกิดขึ้นนี้ถึงขนาดทำให้ “นายชวน หลีกภัย” ประธานรัฐสภา ซึ่งเคยออกมาบอกว่า จะเดินหน้าพิจารณาไปตามระเบียบวาระที่กำหนดไว้ ก็ให้สัมภาษณ์ถึงคำแนะนำของฝ่ายกฎหมายของสภาผู้แทนราษฎร ที่เห็นว่าไม่ควรลงมติร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญในวาระที่ 3 ตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ อันควรต้องมีการทำประชามติก่อน เพิ่มเติมขึ้นมา
“ยืนยันว่า มีการบรรจุระเบียบวาระประชุมรัฐสภาในวันพรุ่งนี้ เพราะเป็นการทำหน้าที่ตามกฎหมายบังคับไว้ ว่าเมื่อผ่านการพิจารณาในวาระที่ 2 จะต้องรอ 15 วัน และเข้าสู่การพิจารณาในวาระที่ 3 และจากปัญหาดังกล่าว แต่ละฝ่ายมีความเห็นที่หลากหลาย ทั้งนักวิชาการ นักกฎหมาย แต่ฝ่ายกฎหมายของสภานั้น ไม่ได้มีประโยชน์ไปเกี่ยวข้องกับฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด ดังนั้น น้ำหนักของฝ่ายกฎหมายของสภาจึงมีความหมายมาก”
3.ท่ามกลางความสับสน และกังวลใจ ต่อคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ออกมา นายชวน หลีกภัยในฐานะประธานรัฐสภา จึงพยายามหาทางออกจากข้อติดขัดดังกล่าวด้วยการเปิดการอภิปรายของสมาชิกรัฐสภา เพื่อขอความเห็นและทิศทางที่ควรต้องดำเนินไปจนมาสรุปในช่วงค่ำของวันที่ 17 มีนาคม ว่า หนึ่ง ให้รัฐสภาทำหน้าที่ ตามที่มีหน้าที่และอำนาจในการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญฉบับที่….พ.ศ….. ในวาระที่สาม ต่อไป นั่นคือให้มีการลงมติตามขั้นตอนต่อไปได้ทันที (เสนอโดยฝ่ายค้าน) สอง ให้รัฐสภาพิจารณาชะลอการลงมติเอาไว้ก่อนและส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเรื่องหน้าที่และอำนาจอีกหนึ่งครั้ง เพื่อให้เกิดความชัดเจนในสองประเด็น คือ ขอบเขตอำนาจของรัฐสภาในการโหวตวาระสาม สามารถทำได้หรือไม่? และรัฐสภาสามารถแก้ไขรัฐธรรมนูญให้มีหมวด 15/1 เพื่อนำไปสู่การตั้ง ส.ส.ร. เพื่อจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ได้หรือไม่? (เสนอโดย “นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ สส.บัญชีรายชื่อและหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์) และสาม ให้สิ่งที่ทำมาแล้ว ในวาระหนึ่ง และวาระสองที่ผ่านมา ถือว่าเป็นโมฆะไป เพราะคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ คือให้ไปทำประชามติก่อนที่จะมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือก่อนที่จะมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ดังนั้น ต้องไปเริ่มจากการทำประชามติเสียก่อน และเริ่มวาระหนึ่งใหม่อีกครั้งหนึ่ง (เสนอโดย สว.)
แต่ความพยายามของรัฐสภาตลอดทั้งวันก็พังลงเมื่อ “นายไพบูลย์ นิติตะวัน” เสนอญัตติตามระเบียบวาระเรื่องด่วนให้เดินหน้าโหวตวาระ 3 และก็เป็นเช่นที่“นายพิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต” ประธานคณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.) คาดเดา
“วิษณุ เครืองาม พูดเมื่อวันก่อน แสดงนัยอย่างชัดเจนว่า รัฐบาลต้องการคว่ำร่าง รธน. และสอดคล้องกับการให้สัมภาษณ์ของ สว. และ สส. พรรคพลังประชารัฐบางคนที่มีบทบาททางการเมืองสูง คาดว่า พรรคพลังประชารัฐ และ สว. จะใช้วิธีการบางอย่างที่จะคว่ำร่าง รธน. นี้ให้ได้ รัฐบาลประเมินผลกระทบที่ตามมาต่ำเกินไป และมีความมั่นใจว่าสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ แต่ผมคิดว่า การตัดสินใจที่จะคว่ำรัฐธรรมนูญครั้งนี้เป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดอย่างใหญ่หลวงยิ่งของรัฐบาล และ สว. และจะนำความเสียหายอย่างประมาณมิได้มาสู่บ้านเมือง”
4.ก็ต้องยอมรับว่า ข้อความผ่านสื่อสังคมออนไลน์ของประธาน ครป. (โพสต์เมื่อ 15 มีนาคม 2564) ตรงกับใจคอการเมืองหลายคน และเมื่อวิเคราะห์ไปยัง 3 หนทางที่ต้องเลือกของสมาชิกรัฐสภาก็ล้วนแล้วแต่พาไปสู่จุดนี้แทบทุกข้อเสนอ ต่างกันเพียงช้าหรือเร็วเท่านั้น ดังนั้น การที่นายไพบูลย์ นิติตะวัน รวมไปถึงข้อเสนอแนวทางที่ 3 ของ “นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว”สส.จังหวัดน่าน และรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย และ “นายรังสิมันต์ โรม” สส.บัญชีรายชื่อ และรองเลขาธิการพรรคก้าวไกล เลือกที่จะลุยไฟโหวตให้มันได้คำตอบของการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ออกมาในทันทีนั้น จึงเป็นสัญญาณการเมืองอย่างชัดเจนว่าทุกฝ่ายพร้อมเผชิญหน้ากันอย่างเต็มที่แล้ว
หรือเอากันให้ชัดก็คือ รัฐบาลก็มั่นใจในการกระชับอำนาจทั้งหมด และเชื่อว่าการเมืองบนท้องถนนไม่น่าจะเป็นปัญหาได้อีก หลังจากใช้กฎหมายเข้าควบคุมตัวแกนนำ และลดทอนความน่าเชื่อถือของการชุมนุม ส่วนทางฝ่ายเห็นต่างรัฐบาล ที่ต้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ด้วยเหตุผลในการลดอำนาจทางการเมืองของ “พี่น้องสาม ป.” ก็น่าจะมองว่า ผลสะท้อนที่เกิดขึ้นจากการคว่ำร่างรัฐธรรมนูญ จะยิ่งไปสร้างความไม่ชอบธรรมของรัฐบาลและพรรคพวก ต่อกติกาที่ถูกโจมตีว่า“ทำมาเพื่อสร้างความได้เปรียบทางการเมือง” รวมไปถึงความไม่พอใจในหมู่ประชาชนที่โดยพื้นฐานก็มีความไม่สบอารมณ์กับการบริหารอำนาจแบบ “ระบอบประวิทย์” อยู่แล้ว ซึ่งคอการเมืองหลายท่านก็ใช้คำสรุปสั้นๆ ว่า “ปลุกม็อบ” ต่อกรณีนี้ โดยตามบริบทของผลลัพธ์อันอาจจะเกิดขึ้นก็อยู่ในความคาดเดาของหมอดูการเมืองหลายคนที่ใช้ประสบการณ์ทางการเมืองในการทำนาย (ไม่ใช่ดวงชะตา หรือดวงดาว) โดยเฉพาะอดีตนายกรัฐมนตรี และอดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ “นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ที่นอกเหนือไปจากแสดงความเสียดายต่อการนับหนึ่งในการสร้างกรอบกติกาใหม่ให้บ้านเมืองแล้ว ยังชี้ชวนให้คนไทยมองไปที่อนาคต พร้อมสื่อสารเป็นนัยว่า ความสงบจะจบลงตรงจุดไหน
“การแก้ไขรัฐธรรมนูญต่อจากนี้จะเป็นเรื่องที่ยาก ไม่ว่าจะเป็นการแก้ไขทั้งฉบับ หรือรายมาตรา เนื่องจากการแก้ไขรายมาตราก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เพราะมีการ
ผูกโยงกันไว้ จึงเป็นเรื่องอันตราย เพราะมีคนจำนวนมากเห็นจุดอ่อน ข้อบกพร่องของรัฐธรรมนูญ จะเกิดสภาพความอึดอัด แทนที่สภา หรือแม้แต่ประชาชนจะเลือกคนมาร่างรัฐธรรมนูญใหม่ก็ยังทำไม่ได้ จะทำให้เกิดความตึงเครียดและมีเสียงต้องทำอย่างไรจึงจะแก้รัฐธรรมนูญได้ ในเมื่อกลไกตามรัฐธรรมนูญไม่เอื้อให้ทำภายใต้รัฐธรรมนูญนี้”
เมื่อถามว่า มีโอกาสเพิ่มแรงส่งให้ผู้ชุมนุมมากขึ้นจากการคว่ำร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือไม่นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ถ้ากลไกตามรัฐธรรมนูญถูกจำกัดไปเสียหมด คนก็จะต้องแสดงพลังหรือแสดงออกในทางอื่น จึงน่าเสียดายเพราะการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เป็นโอกาสดีที่สุดที่จะสร้างความปรองดอง และลดความตึงเครียดความขัดแย้ง เพราะจะเป็นเวทีที่นำความคิดต่างมาคุยกันในระบบได้ จึงเป็นเรื่องน่าเสียดายมากที่ตรงนี้ไม่เดินต่อ จึงอยากให้รัฐบาลคิดถึงหลักความถูกต้อง มองโครงสร้างระยะยาว อย่าเอาความสะดวกการเมืองระยะสั้นมาเป็นตัวชี้ว่าอยากทำหรือไม่อยากทำอะไร เพื่อประโยชน์ของตัวเองและเพราะจะยิ่งเป็นอันตรายและทำให้เกิดความขัดแย้งมากขึ้น
“ถึงแม้ว่า พลังการเคลื่อนของมวลชนอาจจะดูอ่อนกำลังลง แต่ผมเห็นว่า คนที่มีความคิดสนับสนุนข้อเรียกร้องแม้จะไม่ทั้งหมด ไม่ได้เปลี่ยนแปลงความคิด
นับวันคนรุ่นใหม่ที่เติบโตขึ้นมาก็จะโน้มเอียงไปในทิศทางที่เห็นด้วยกับกลุ่มที่เคลื่อนไหว หากไม่ตอบสนองอะไรเลย ก็เหมือนกับรอเป็นระเบิดเวลา ยิ่งสะสมประเด็นความขัดแย้ง ทำให้สถานการณ์ในอนาคตยิ่งน่าเป็นห่วงมากขึ้น...ฝ่ายผู้มีอำนาจอาจพึงพอใจ บรรยากาศเอื้อให้ตัวเองรักษาอำนาจได้ และการเกิดเหตุรุนแรงแบบสุดโต่ง ระหว่างการชุมนุมมากขึ้น ก็จะเพิ่มความชอบธรรมในการหาความนิยม คือ ต้องเลือกเพื่อความสงบ แต่ทั้งหมดมันเป็นความสงบผิวเผิน ไม่ยั่งยืน มีแต่สะสมปัญหาสำหรับอนาคตประเทศ ถ้าคิดแต่การรักษาอำนาจ ก็ไม่ได้ตอบโจทย์ประเทศอยู่แล้ว จึงอยู่ที่ว่าผู้มีอำนาจจะตัดสินใจอย่างไร เป็นบททดสอบว่าเอาผลประโยชน์ของใครเป็นที่ตั้ง”
ครับ, เมื่ออ่านทั้งหมดแล้ว พอเห็นความสงบบ้างหรือยัง?
อรรฆพันธ์ อภิรักษ์พงศ์
(แทน)
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี