มีเหตุการณ์หนึ่ง ซึ่งเป็นตัวอย่างอันดี ที่ควรหยิบยกขึ้นมาส่องพฤติกรรม “ดื้อด้านและขาดความยำเกรงต่อกฎหมาย” ที่ทำลายชีวิตและอนาคตของคนคนหนึ่งให้สูญเสียเสรีภาพเป็นการชั่วคราวในระหว่างฝากขัง และไม่รู้ว่าในอนาคต จะเจอบทลงโทษประการใดต่อไป นั่นคือ กรณี นายชูเกียรติ แสงวงค์ หรือ จัสติน
ในข่าวได้สะท้อนให้เห็นว่า คนคนนี้มีความเกลียดชังต่อพระมหากษัตริย์อย่างชัดเจน จึงกระทำความผิดต่อพระบรมฉายาลักษณ์ครั้งแล้วครั้งเล่า เกินกว่าจะเป็นการกระทำที่เกิดจากแรงโทสะเฉพาะหน้า หรือความพลั้งไป สะท้อนความไม่กลัวกฎหมาย จึงทำผิดซ้ำผิดซาก
23 มี.ค.2564 พ.ต.ท.พิษณุ เกิดทอง พนักงานสอบสวน สน.ชนะสงคราม ได้ยื่นคำร้องขอฝากขังครั้งแรก นายชูเกียรติ แสงวงค์ หรือจัสติน แกนนำกลุ่มราษฎร อายุ 30 ปี ภูมิลำเนา จ.สมุทรปราการ ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่ 519/2564 คดีทำลายพระบรมฉายาลักษณ์ที่สนามหลวง ซึ่งศาลดำเนินการสอบถามผู้ต้องหาและไต่สวนพยานหลักฐานผ่านวีดีโอคอนเฟอเรนซ์ โดยกล่าวหาว่ากระทำความผิดฐาน “หมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท, ร่วมกันกระทำให้ปรากฏแก่ประชาชนด้วยวาจา หนังสือ หรือวิธีอื่นใดอันมิใช่เป็นการกระทำภายใน ความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญฯ”
คำร้องฝากขังระบุพฤติการณ์ว่า
1) สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 20 มี.ค. 2564 เวลาประมาณ 18.00 น. นายชูเกียรติ แสงวงค์ หรือจัสตินผู้ต้องหากับพวกกลุ่มผู้ชุมนุมจำนวนประมาณ 600 คน ได้มารวมตัวกันที่บริเวณหน้าพระแม่ธรณีบีบมวยผม ข้างศาลฎีกา ถ.ราชดำเนินใน แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร
2) ต่อมาได้มีกลุ่มผู้ชุมนุม จำนวนประมาณ 30 คน เดินเท้าจากบริเวณหน้าร้านแมคโดนัลด์ อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย มาสมทบกับกลุ่มผู้ชุมนุมที่รวมตัวกันอยู่ที่บริเวณหน้าพระแม่ธรณีบีบมวยผม หลังจากนั้นกลุ่มผู้ชุมนุมได้เริ่มทยอยรวมตัวกันจากหลายทิศทาง ซึ่งมีจำนวนผู้ชุมนุมประมาณ 500 คน โดยในกลุ่มผู้ชุมนุมได้มีการปราศรัยโดยใช้เครื่องขยายเสียงและพูดปราศรัยโจมตีการทำงานของรัฐบาล
3) จนกระทั่งเวลาประมาณ 17.25 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ใช้เครื่องขยายเสียงประกาศให้กลุ่มผู้ชุมนุมทราบว่าการชุมนุมดังกล่าวนั้นเป็นการชุมนุมที่ผิดกฎหมาย และได้ประกาศให้กลุ่มผู้ชุมนุมแยกย้ายเลิกการชุมนุม แต่ปรากฏว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ถูกกลุ่มผู้ชุมนุมตะโกนโห่ร้องและด่าทอโดยไม่ยอมเลิกการชุมนุมแต่อย่างใด
4) หลังจากตำรวจแจ้งให้กลุ่มผู้ชุมนุมรับทราบแล้ว ก็ได้ถอนกำลังออกจากบริเวณดังกล่าวไป ในเวลาต่อมาได้มีกลุ่มผู้ชุมนุมส่วนหนึ่งซึ่งยังไม่ยอมเลิกชุมนุม ได้เดินทางมาชุมนุมกันต่อเนื่องที่บริเวณถนนราชดำเนินใน และได้มีกลุ่มผู้ชุมนุมซึ่งมารวมตัวกันอยู่ที่บริเวณหน้าตู้คอนเทนเนอร์ที่ตำรวจได้ตั้งไว้เป็นแนวกั้น เพื่อป้องกันไม่ให้กลุ่มผู้ชุมนุมรุกล้ำหรือเข้าไปในบริเวณเขตพระราชฐาน โดยบริเวณด้านหลังตู้คอนเทนเนอร์นั้น มีตำรวจควบคุมฝูงชนจำนวนหลายกองร้อยตั้งกำแพงอยู่ด้านหลังอีกชั้นหนึ่ง
5) ต่อมาเมื่อเวลาประมาณ 18.00 น. กลุ่มผู้ชุมนุมเริ่มมีการฉีดสีสเปรย์ที่ตู้คอนเทนเนอร์และเริ่มมีการใช้เชือกผูกตู้คอนเทนเนอร์ และช่วยกันดึงตู้คอนเทนเนอร์ลงเพื่อเปิดทาง เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้ประกาศห้ามการกระทำดังกล่าวของกลุ่มผู้ชุมนุมเป็นระยะๆ พร้อมกับได้ประกาศแจ้งให้กลุ่มผู้ชุมนุมหยุดการกระทำดังกล่าว ซึ่งเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย แต่กลุ่มผู้ชุมนุมไม่ยอมหยุดและได้มีการขว้างปาสิ่งของและขว้างประทัดยักษ์เข้าใส่เจ้าหน้าที่ตำรวจ พร้อมกับมีการใช้หนังสติ๊กยิงลูกเหล็กและลูกแก้วใส่เจ้าหน้าที่ตำรวจที่อยู่ในบริเวณดังกล่าว ตำรวจจึงได้ประกาศแจ้งเตือนและฉีดน้ำเพื่อให้กลุ่มผู้ชุมนุมหยุดการกระทำดังกล่าว แต่ปรากฏว่ากลุ่มผู้ชุมนุมได้มีการฝ่าด่านของเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อเข้าไปยังเขตพระราชฐาน โดยมีการใช้กำลังทำร้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งขณะเกิดเหตุเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถควบคุมตัวผู้กระทำความผิดไว้ได้ส่วนหนึ่งแต่ยังมีผู้กระทำความผิดบางส่วนสามารถหลบหนีไปได้
6) ตำรวจจึงได้ตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิดในช่วงเวลาที่เกิดเหตุ ปรากฏภาพขณะที่นายชูเกียรติ แสงวงค์ผู้ต้องหาในคดีนี้ ได้ปีนขึ้นไปที่บริเวณพระบรมฉายาลักษณ์ รัชกาลที่ ๑๐ ซึ่งติดตั้งอยู่ที่บริเวณด้านหน้ารั้วของศาลฎีกาถนนราชดำเนินใน แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร โดยผู้ต้องหาได้นำกระดาษที่เขียนข้อความว่า “ที่ทิ้งขยะ สิ่งปฏิกูล!” ไปติดไว้ที่บริเวณพระบรมฉายาลักษณ์ดังกล่าว โดยที่กล้องวงจรปิดสามารถบันทึกภาพของผู้ต้องหาที่กระทำผิดไว้ได้
7) การกระทำดังกล่าวของนายชูเกียรติ หรือจัสตินผู้ต้องหาในคดีนี้จึงเป็นการกระทำที่มีลักษณะเป็นการดูหมิ่นแสดงความอาฆาตมาดร้ายต่อพระมหากษัตริย์ โดยเป็นการกระทำให้ปรากฏแก่ประชาชนด้วยวาจา หรือกระทำโดยวิธีอื่นใด เพื่อให้เกิดความปั่นป่วนกระด้างกระเดื่องต่อประชาชน ถึงขนาดจะก่อความไม่สงบขึ้นในราชอาณาจักร เพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน โดยเป็นการกระทำโดยเจตนา ประสงค์ต่อผล และเล็งเห็นผลว่าการกระทำดังกล่าวข้างต้น จะมีผู้อื่นกระทำความผิดล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน
8) จากการตรวจสอบภาพจากคลิปวีดีโอ พบว่า กลุ่มผู้ชุมนุมได้นำขยะต่างๆ ไปทิ้งไว้ที่บริเวณพระบรมฉายาลักษณ์ นอกจากนี้ยังมีการฉีดสีสเปรย์ และสาดน้ำที่พระบรมฉายาลักษณ์จนได้รับความเสียหาย
9) ในเวลาต่อมาพบว่า กลุ่มผู้ชุมนุมบางส่วนได้จุดไฟเผาที่พระบรมฉายาลักษณ์จนเกิดประกายไฟ แต่มีผู้ชุมนุมบางส่วนสามารถช่วยกันดับไฟไว้ได้ทัน
10) จากนั้นเมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจประกาศให้หยุดผู้ต้องหากับพวกผู้ชุมนุมไม่ยอมหยุด กลับปาสิ่งของขวดน้ำ ขว้างปาระเปิดปิงปอง และยิงหนังสติ๊กเข้าใส่เจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมฝูงชน และทุบตีตำรวจจนได้รับบาดเจ็บ
11) หลังจากก่อเหตุแล้ว นายชูเกียรติ ผู้ต้องหากับพวกได้หลบหนีไป ต่อมาพนักงานสอบสวนได้รวบรวมพยานหลักฐานขอศาลออกหมายจับ ซึ่งได้ออกหมายจับศาลอาญาที่ 519/2564 ลงวันที่ 22 มี.ค. 2564 กระทั่งเวลา 19.40 น.วันที่ 22 มี.ค. 2564 ตำรวจ สน.ชนะสงคราม สามารถจับกุมตัวนายชูเกียรติ หรือจัสติน ผู้ต้องหาตามหมายจับได้ จึงควบคุมตัวไปดำเนินคดีตามกฎหมาย
พนักงานสอบสวน สน.ชนะสงคราม จึงแจ้งข้อกล่าวหาว่ากระทำความผิดฐานหมิ่นประมาท หรือดูหมิ่น หรือแสดงอาฆาต มาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์, ร่วมกันจัดให้มีกิจกรรมซึ่งมีผู้เข้าร่วมเป็นจำนวนมากในลักษณะมั่วสุมกันหรือมีโอกาสติดต่อสัมผัสกันง่าย ชุมนุมทำกิจกรรมหรือมั่วสุมกัน ณ ที่ใดๆในสถานที่แออัด หรือกระทำการดังกล่าวอันเป็นการยุยงให้เกิดความไม่สงบ เรียบร้อย หรือในลักษณะที่เสี่ยงต่อการแพร่เชื้อโรค ฝ่าฝืน พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 มาตรา 9ฯ, ร่วมกันกระทำการหรือดำเนินการใดๆ ซึ่งอาจก่อสภาวะที่ไม่ถูกสุขลักษณะ ซึ่งอาจเป็นเหตุให้โรคติดต่ออันตรายหรือโรคแพร่ระบาดออกไป ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อ, ร่วมกันมั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนไป ใช้กำลังประทุษร้าย ขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย หรือกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดให้เกิดการวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง, เมื่อเจ้าพนักงานสั่งผู้ที่มั่วสุมเพื่อกระทำความผิดตามมาตรา 215 ให้เลิกไป แล้วไม่เลิก, ร่วมกันต่อสู้ หรือขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติการตามหน้าที่ โดยใช้กำลังประทุษร้ายหรือขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย โดยได้กระทำโดยมีหรือใช้อาวุธ หรือโดยร่วมการกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่ 3 คนขึ้นไป, ร่วมกันทำร้ายร่างกายเจ้าพนักงานซึ่งกระทำตามหน้าที่จนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 112, 138 วรรคแรก, 138 วรรคสอง, 140 วรรคแรก, 215, 216, 295, 296 และ ตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ พ.ศ. 2548 เหตุเกิดที่บริเวณหน้าศาลฎีกา ถนนราชดำเนินใน แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร ชั้นสอบสวนผู้ต้องหาให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา
ท้ายคำร้องพนักงานสอบสวนยังระบุว่า ได้สอบสวนและควบคุมตัวผู้ต้องหามาโดยตลอด จะครบกำหนดควบคุมตัว 48 ชั่วโมงแล้ว แต่การสอบสวนยังไม่เสร็จสิ้น จะต้องสอบพยานอีก 11 ปาก, รอผลการตรวจชันสูตรบาดแผลของเจ้าพนักงานตำรวจและพยานที่ได้รับบาดเจ็บ, รอผลการตรวจลายพิมพ์นิ้วมือ และประวัติการต้องโทษของผู้ต้องหา มาประกอบสำนวนการสอบสวนเพื่อเสนอผู้บังคับบัญชาพิจารณา
ด้วยเหตุผลและความจำเป็นดังกล่าวข้างตัน จึงขออนุญาตศาลฝากขังผู้ต้องหานี้ไว้ในระหว่างการสอบสวนมีกำหนด 12 วัน ตั้งแต่วันที่ 23 มีนาคม-3 เมษายน 2564 ทั้งนี้ หากผู้ต้องหายื่นคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราว พนักงานสอบสวนขอคัดค้านการปล่อยชั่วคราว เนื่องจากผู้ต้องหามีพฤติการณ์ร่วมกันชุมนุมแล้วก่อให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง และทำให้ทรัพย์สินของทางราชการเสียหายจำนวนมาก หากผู้ต้องหาได้รับการปล่อยชั่วคราว เกรงว่าจะไปร่วมกันชุมนุมแล้วก่อให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมืองและทำให้ทรัพย์สินของทางราชการเสียหายในลักษณะเดียวกันอีก
ประกอบกับผู้ต้องหาเคยกระทำความผิดในลักษณะเดียวกันนี้มาแล้วหลายครั้ง โดยผู้ต้องหาเคยกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ในท้องที่ สน.ลุมพินีตามคดีอาญาที่ 1092/2563, กระทำความผิด มาตรา 112 ท้องที่ สน.ท่าพระ ซึ่งได้มีการแจ้งข้อกล่าวหาและคดีอยู่ระหว่างการสอบสวน, กระทำผิดมาตรา 112 ท้องที่สน.บุปผาราม และยังกระทำผิดมาตรา 116, 225 และความผิดเกี่ยวกับโบราณสถานในท้องที่ สน.ชนะสงคราม ซึ่งพนักงานอัยการได้ยื่นฟ้องผู้ต้องหาต่อศาลในคดีหมายเลขดำที่ อ.287/2564, อ.5399/2564 ซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาล แสดงให้เห็นว่าผู้ต้องหาไม่เกรงกลัวต่อกฎหมายแต่อย่างใด หากได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวไปจะเกรงว่าผู้ต้องหาจะไปก่อเหตุในลักษณะเดียวกันอีก
ศาลพิจารณาคำร้องแล้วอนุญาตให้ฝากขังได้
สรุป : นอกเหนือจากพฤติกรรมความผิดของนายจัสติน เรายังเห็นความไม่ยี่หระต่อกฎหมายบ้านเมืองของผู้ชุมนุม กระทำการเกินสิทธิตามรัฐธรรมนูญ ไม่เลือกวิธีการ และทำเสมือนมาตำหนิโจมตีรัฐบาล หากกลับ “กระทำ” ต่อพระบรมฉายาลักษณ์ด้วยวิธีที่เลวทรามอย่างจงใจและเจตนา
นี่คือปัญหาของผู้ชุมนุมแก๊ง 3 กีบ ที่เหมือนไร้สติ ไม่รู้ขอบเขตของกฎหมาย แอบอ้างแต่เรื่องสิทธิเสรีภาพ จนบั้นปลายท้ายสุด ค่อยๆ ทยอยเข้าคุก และมีคดีติดตัวตั้งแต่อายุยังน้อย เป็นเบี้ยบนกระดานที่พวกเดินหมากอยู่ข้างหลังมิได้แยแสสนใจเช่นเดียวกัน!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี