เมื่อวันที่ 7 เม.ย. 2564 พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่าการดำเนินการที่เกี่ยวกับระบบรถไฟฟ้าสายสีเขียว ได้รับทราบถึงความเดือดร้อนของทุกภาคส่วน แต่วันนี้ต้องเอาความเดือดร้อนของประชาชนขึ้นมาดูก่อนว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป ทั้งนี้ ขั้นตอนการเสนอสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียว เหลือเพียงการนำเสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เท่านั้น เมื่อพิจารณาแล้วนำไปสู่เรื่องการเจรจา ที่มีการพูดคุยกันบ้างแล้ว
พลเอกประยุทธ์ยังระบุว่า ขอความร่วมมือเอกชนด้วยว่า จะทำยังไงให้สิ่งต่างๆ เดินหน้าได้โดยเร็ว บรรเทาความเดือดร้อนให้ประชาชน และค่าโดยสารไม่สูงนัก มันก็เดินหน้าได้หมด ถ้าทุกคนจะเอาคนละอย่างสองอย่างมันก็เดินหน้ากันไม่ได้ ทั้งๆ ที่ได้เปิดใช้บริการไปแล้ว และที่ผ่านมาประชาชนก็ได้ประโยชน์ เพราะไม่ได้เก็บค่าโดยสาร ก็ต้องหาวิธีการที่เหมาะสม ถ้าทะเลาะขัดแย้งกันก็ไปไม่ได้สักอย่าง รัฐบาลจะทำให้ดีที่สุด โดยคำนึงถึงประชาชนในทุกๆ เรื่อง
“ผมคำนึงถึงความเดือดร้อนของประชาชนเป็นที่สุด เพราะฉะนั้น รัฐบาลก็ต้องแก้ไขและทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องก็ต้องช่วยกัน เพราะหลายเรื่องเกิดมาก่อนและมีความซับซ้อนหลายอย่าง เราก็ต้องมาแก้และเมื่อแก้ก็มีปัญหาอื่นๆ ตามมาด้วยเสมอ รัฐบาลต้องแก้ปัญหาโดยที่จะต้องไม่มีผลกระทบกับรัฐบาลอื่นๆ ในอนาคต” นายกฯ พลเอกประยุทธ์กล่าว
1.แน่นอนว่า ผู้โดยสารอยากได้ค่าโดยสารถูกที่สุด
แต่ในโลกความเป็นจริง มันย่อมมีต้นทุน มีราคาที่ต้องจ่าย เช่น ที่รัฐบาลให้ใช้ส่วนต่อขยายฟรีอยู่ในวันนี้ ก็ไม่ได้ฟรีจริง เพราะ กทม.ต้องจ้างบีทีเอสเดินรถ แล้วก็ยังติดค้างเงินค่าจ้างบีทีเอสอยู่ทุกวัน
ภาระเหล่านี้ คือการหมักหมมสะสมไปให้รัฐบาลต่อๆ ไป ต้องเข้ามาแบกรับ
ถ้านายกฯ พลเอกประยุทธ์จะแก้ปัญหาเด็ดขาด ด้วยภาวะผู้นำไม่กระทบรัฐบาลอื่นๆ ในอนาคตจริงๆ ก็ต้องกล้าตัดสินใจฉับไวในวันนี้ไม่ปล่อยให้ภาระพอกพูนไปเรื่อยๆ
จะเอายังไงก็ต้องเอา
จะไม่ขยายสัญญา ก็ต้องเอาเงินไปจ่ายหนี้เอกชน หรือจะขยายสัญญาแลกหนี้ และให้ กทม.ได้สิทธิประโยชน์ตามที่เจรจากับบีทีเอสก่อนหน้านี้ ก็ต้องกล้าตัดสินใจ
2.ล่าสุด นายสุรพงษ์ เลาหะอัญญา กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บมจ.ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ (BTSC) ได้ออกหนังสือแจ้งต่อสาธารณชนในรูปจดหมายเปิดผนึกเรื่อง “ชี้แจงข้อเท็จจริงการเดินรถไฟฟ้าสายสีเขียว” ให้ประชาชนได้รับทราบ
ระบุว่า ที่ผ่านมา บริษัทเข้าใจถึงความพยายามในการแก้ไขปัญหาภาระหนี้สินของรัฐบาล ซึ่ง กทม.ได้แบกรับค่าก่อสร้างส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าสายสีเขียว เพื่อให้ประชาชนได้รับความสะดวก และค่าโดยสารไม่สูงจนเกินไป
โดยภาระหนี้ที่เกิดขึ้นนั้นอยู่ในช่วงส่วนต่อขยายที่ 2 (ช่วงหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต, ช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ) เป็นหลัก ประกอบด้วย ค่าระบบการเดินรถ (ไฟฟ้าและเครื่องกล) ค่าจ้างเดินรถ ซึ่งเป็นระยะเวลายาวนานพอสมควรที่กรุงเทพมหานคร โดย บจ.กรุงเทพธนาคม ไม่ได้ชำระค่าจ้างเดินรถ
บางตอนได้เปิดเผยว่า กทม.ยังไม่ได้จ่ายค่าจ้างเดินรถส่วนต่อขยายอยู่ประมาณ 3 หมื่นล้านบาท (ตั้งแต่เมษายน 2560 เป็นต้นมา) จึงจำเป็นต้องยื่นทวงถามการชำระหนี้
ระบุว่า บริษัทหวังเป็นอย่างยิ่งว่าประชาชน จะเข้าใจถึงปัญหาที่เราต้องเผชิญ และได้พยายามอย่างที่สุดที่จะร่วมรับผิดชอบ เพื่อหาแนวทางการแก้ไขข้อขัดข้องที่เกิดขึ้น อย่างไรก็ตาม บริษัทขอขอบคุณผู้โดยสารทุกท่านที่ให้การสนับสนุน และจะพยายามทำทุกวิถีทาง ที่จะดูแลผู้โดยสารทุกท่านอย่างดีที่สุด
3.บางฝ่าย พยายามจะให้คิดค่าโดยสารถูกกว่าที่เจรจากับบีทีเอสไว้ และให้ตั้งกองทุนโครงสร้างพื้นฐานเพื่อนำเงินไปจ่ายหนี้ให้บีทีเอส
แต่ก่อนหน้านี้ ดร.สามารถ ราชพลสิทธิ์ ได้เคยวิเคราะห์แจกแจงไว้อย่างน่าสนใจ ชัดเจน ว่าความเป็นไปได้จริงในการแก้ปัญหาสายสีเขียวนี้ อยู่ตรงไหน อย่างไร ระบุว่า
“...เป็นข่าวน่าสนใจที่กระทรวงคมนาคมเสนอแนวทางการทำให้ค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายสีเขียวถูกลงจากเดิมสูงสุด 65 บาท เหลือสูงสุด 50 บาท แต่จะทำได้หรือไม่ต้องอ่านบทความนี้
กรุงเทพมหานคร (กทม.) ต้องการแก้ปัญหาหนี้สินจากการลงทุนก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยายช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ และช่วงหมอชิต-คูคต รวมทั้งการจัดซื้อขบวนรถไฟฟ้า ติดตั้งระบบตั๋วและระบบสื่อสาร และค่าจ้างบริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือบีทีเอสให้เป็นผู้เดินรถและซ่อมบำรุงรักษา เป็นเงินรวมประมาณ 1.3 แสนล้านบาท แต่ กทม.ไม่มีเงินที่จะจ่ายหนี้ก่อนใหญ่นี้ จึงจำเป็นจะต้องขยายเวลาสัมปทานให้บีทีเอสเป็นเวลา 30 ปี จากปี 2572-2602
ปี 2572 เป็นปีสิ้นสุดสัญญาสัมปทานกับบีทีเอสสำหรับรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนหลัก ประกอบด้วยช่วงหมอชิต-อ่อนนุช และช่วงสนามกีฬาแห่งชาติ-สะพานตากสิน ซึ่งบีทีเอสลงทุนเองทั้งหมด แต่อย่างไรก็ตาม กทม.ได้ทำสัญญาจ้างบีทีเอสให้เดินรถและซ่อมบำรุงรักษาทั้งส่วนหลักและส่วนขยายไปจนถึงปี 2585 ไว้ก่อนแล้ว
การขยายเวลาให้บีทีเอสนั้น กทม.มีเงื่อนไขดังนี้
1.บีทีเอสจะต้องเก็บค่าโดยสาร 15-65 บาท (หากไม่ขยาย ค่าโดยสารสูงสุดจะพุ่งไปถึง 158 บาท)
2.บีทีเอสจะต้องจ่ายหนี้บางส่วนแทน กทม.ตั้งแต่ปี 2562-2572 เป็นเงินประมาณ 7 หมื่นล้านบาท จากหนี้ทั้งหมดประมาณ 1.3 แสนล้านบาท
3.บีทีเอสจะต้องแบ่งรายได้ให้ กทม.ตั้งแต่ปี 2572-2602 เป็นเงินกว่า 2 แสนล้านบาท ซึ่งเงินบางส่วนจากเงินก้อนนี้ กทม.จะนำไปจ่ายหนี้ที่เหลือ
4.ในกรณีที่บีทีเอสได้ผลตอบแทนจากการลงทุนเกิน 9.6% บีทีเอสจะต้องแบ่งรายได้ให้ กทม.ด้วย
กระทรวงคมนาคมทักท้วงว่าค่าโดยสารสูงสุด 65 บาทนั้นแพงกว่าค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินซึ่งมีค่าโดยสารสูงสุด 42 บาท แม้ว่าได้มีการเปรียบเทียบให้เห็นกันชัดๆ แล้วว่าค่าโดยสารต่อระยะทางหนึ่งกิโลเมตรของรถไฟฟ้าสายสีเขียวถูกกว่าของรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินแล้วก็ตาม แต่ดูเหมือนว่ากระทรวงคมนาคมยังไม่ยอมรับ จึงได้เสนอแนวทางที่ทำให้ค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายสีเขียวถูกลง
ผมเห็นด้วยที่จะทำให้ค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายสีเขียวถูกลง
โดยอาจขอให้รัฐบาลแบกรับหนี้ทั้งหมดหรือบางส่วนแทน กทม. แต่รัฐบาลก็ทำไม่ได้ ด้วยเหตุนี้ กทม.จึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากขยายเวลาสัมปทานให้บีทีเอส แต่เมื่อกระทรวงคมนาคมยื่นมือเข้ามาช่วยก็น่ายินดี โดยการเสนอให้จัดตั้งกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานรถไฟฟ้าสายสีเขียว เพื่อระดมทุนจากผู้สนใจที่จะลงทุนแล้วนำเงินมาจ่ายหนี้บางส่วนประมาณ 7 หมื่นล้านบาท หลังจากนั้นจะเปิดประมูลจ้างผู้เดินรถในช่วงปี 2573-2602 กระทรวงคมนาคมคุยว่าหากใช้แนวทางนี้จะทำให้มีเงินเหลือนำส่งเข้ารัฐได้ถึงประมาณ 3.8 แสนล้านบาท
ผมมีความเห็นต่อข้อเสนอของกระทรวงคมนาคมที่จะจัดตั้งกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานรถไฟฟ้าสายสีเขียว ดังนี้
1.คาดว่าจะไม่มีผู้สนใจลงทุนในกองทุนฯ นี้ เพราะตั้งแต่เวลานี้-2572 จะไม่ได้รับผลตอบแทน เนื่องจากการให้บริการรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยายจะขาดทุน ทำให้ไม่สามารถจ่ายผลตอบแทนได้ เมื่อเปรียบเทียบกับกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานอื่นที่มีอยู่ในประเทศไทย 9 กองทุน มีการจ่ายผลตอบแทนทุกปี
2.เมื่อไม่มีผู้สนใจลงทุน ก็จะไม่มีเงินไปจ่ายหนี้บางส่วนจนถึงปี 2572 ประมาณ 7 หมื่นล้านบาท ความหวังที่จะเปิดประมูลใหม่ในปี 2573 จึงเป็นไปไม่ได้ เพราะไม่มีเงินไปจ่ายหนี้นั่นเอง
3.ในกรณีมีเงินใช้หนี้ (ซึ่งไม่รู้ว่าจะหามาจากไหน) ก็จะไม่สามารถเปิดประมูลใหม่ได้ในปี 2573 เพราะติดสัญญาจ้างให้บีทีเอสเดินรถถึงปี 2585
4.การคาดการณ์ว่าจะสามารถนำเงินเข้ารัฐได้ถึง 3.8 แสนล้านบาท ในช่วงปี 2573-2602 อาจเป็นตัวเลขที่สูงเกินจริง เนื่องจากคาดการณ์จำนวนผู้โดยสารสูงเกินจริง และคิดค่าจ้างเอกชนให้เดินรถและซ่อมบำรุงรักษาต่ำกว่าความเป็นจริง
ผมอยากให้กำลังใจกระทรวงคมนาคมในการหาแนวทางที่เป็นไปได้ในการทำให้ค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายสีเขียวถูกลง แต่จะต้องเร่งทำแข่งกับเวลา เนื่องจากใกล้ถึงกำหนดเวลาที่บีทีเอสขีดเส้นตายให้ กทม.ชำระหนี้ก้อนแรกประมาณ 3 หมื่นล้านบาทภายใน 60 วัน ในวันที่ 1 เมษายนที่จะถึงนี้ มิฉะนั้น บีทีเอสอาจฟ้องให้ กทม.ชำระหนี้ก้อนนี้ในเร็วๆ นี้ก็ได้
ทั้งหมดนี้ ด้วยความหวังดีที่จะเห็นแนวทางที่เป็นไปได้ในการทำให้ค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายสีเขียวถูกลง”
สุดท้าย จึงเป็นเรื่องดีที่รัฐบาลจะตัดสินใจอย่างหนึ่งอย่างใดให้ชัดเจน เพื่อมิให้ประชาชนจะต้องได้รับผลกระทบหลังจากนี้ ซึ่งจะไม่เป็นผลดีต่อรัฐบาลเองด้วย
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี