“ดร.ซาซา” อดีตทูตพม่าประจำยูเอนที่แปรพักตร์มาเป็นตัวแทนนานาชาติของรัฐบาลพลัดถิ่นพม่า ให้สัมภาษณ์สำนักข่าวรอยเตอร์ว่า ผู้แทนและนักการเมืองพรรคเอ็นแอลดีของ “นางออง ซาน ซู จี” ส่วนใหญ่หนีลงใต้ดินร่วมต่อต้านทหารยึดอำนาจกับรัฐบาลพลัดถิ่น
ดร.ซาซา ซึ่ง นางออง ซาน ซู จี แต่งตั้งให้เป็นทูตพม่าประจำสหประชาติเป็นผู้กล่าวปราศรัยในที่ประชุมสหประชาชาติโจมตีประณามทหารยึดอำนาจรัฐบาลจากการเลือกตั้ง และทำตัวเป็นแทนนานาชาติของรัฐบาลพลัดถิ่น กล่าวด้วยว่า “รัฐบาลพลัดถิ่นและคณะตัวแทนรัฐสภาที่มาจากเลือกตั้งร่วมกับกลุ่มชาติพันธุ์ และกลุ่มประชาสังคมกำลังร่างรัฐธรรมนูญสหพันธ์รัฐพม่า ขึ้นมาแทน รธน.ทหารปัจจุบัน..”
พม่าจะต้องเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่หรือไม่ก็นองเลือด เพราะรัฐบาลพลัดถิ่นจะสร้างกองทัพสหพันธรัฐขึ้นมา ซึ่งรวมเอาทหารจากกลุ่มชาติพันธุ์ทั้งหมดมาเป็นทหารแทนกองทัพพม่าปัจจุบัน
“ถ้ากลุ่มชาติพันธุ์รวมกำลังกันพวกเขาอาจชนะ” ดร.ซาซา กล่าวสำทับว่าถ้าประชาคมนานาชาติไม่จัดการทหารพม่า “แน่นอนหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะเกิดสงครามกลางเมืองทั่วประเทศ...
...“มันอาจกลายเป็นอาทิตย์แห่งการนองเลือดหรือมากกว่านั้นมันอาจเป็นหลายเดือนแห่งการนองเลือดรออยู่เราข้างหน้า” ดร.ซาซากล่าวกับรอยเตอร์
ดังนั้นจำเป็นต้องจัดตั้งกองกำลังผสมขึ้นมา“การสร้างกองกำลังสหพันธรัฐกลายเป็นสิ่งจำเป็นและหนทางเดียวที่จะนำไปสู่ประชาธิปไตยและเสรีภาพ...”
แต่กลุ่มชาติพันธุ์ที่เราคุยด้วยเห็นต่างกับผู้แทนนานาชาติของรัฐบาลพลัดถิ่นเอ็นแอลดี
โฆษกกองกำลังกู้ชาติคะฉิ่น (KIA) กล่าวว่า “เป็นเรื่องยากที่จะตั้งกองทัพสหพันธรัฐขึ้นมาได้เพราะกลุ่มชาติพันธุ์ส่วนใหญ่มีปัญหาภายใน ฉานเหนือกับฉานใต้ก็แตกแยกกัน สู้รบกันเอง...ว้า ซึ่งมีกองทัพใหญ่ที่สุด (United Wa State Army=UWSA) มีกำลังทหารกว่า 30,000 นาย ก็มุ่งมั่นจะแยกตัวออกจากรัฐฉาน ตั้งรัฐว้าขึ้นมาเอง..”
โฆษกกองทัพฉานใต้ SSA กล่าวว่า “ถ้า ดร.ซาซา ทำได้เขาก็กลายเป็น Super manไปแล้ว.. ผมคิดว่าดร.ซาซา พูดพล่ามไปโดยพลการ ไม่ได้รับอนุมัติจากรัฐบาลเงาและคณะกรรมผลักดันเพื่อสันติภาพ”
“นาเนอดาร์” ลูกชายนายพลโบเมี๊ยอดีตผู้นำกะเหรี่ยง KNU กล่าวว่า “เราสนใจแต่การปกป้องประชาชนในเขตของเรา เราไม่มีกำลังมากพอไปต่อกรกับกองทัพพม่า..”
เราเห็นด้วยกับเนอดาร์ เพราะกองทัพพม่าถือว่าเกรียงไกรมีแสนยานุภาพที่ยิ่งใหญ่กว่าชาติใดในกลุ่มประเทศอาเซียน
ข้อมูลในปี 2563 พบว่า...พม่า-มีกำลังพล 515,000 นาย (ทหารราบ 110,000 นาย) อากาศยานทางทหาร 287 ลำ – รถถัง+ยานเกราะ 2,295 คัน ปืนใหญ่+อาวุธหนัก+หัวจรวด+ยุทโธปกรณ์ 2,405 รายการ
เรือยุทธการ+ตรวจการณ์ 90 ลำพร้อมเรือดำน้ำจำนวน 1 ลำ และใช้งบประมาณ $2,000 ล้าน- จัดอยู่ในอันดับที่ 64 ของโลก#ซึ่งมากกว่ากำลังพลของชาติพันธุ์ทุกกลุ่มรวมกัน 5 เท่า# (Sonrit Kirk Pongern)
อย่างไรก็ตาม การให้สัมภาษณ์สำนักข่าวรอยเตอร์ของ ดร.ซาซา ที่ดูเหมือนว่าเพ้อเจ้อแต่สิ่งหนึ่งที่พิสูจน์ได้คือ ดร.ซาซามีทัศน์คติ มีความคิด (Mentality)ที่เหมือนกับนางออง ซาน ซู จี
ดร.ซาซา สร้างเรื่องสร้างนิยายขึ้นมาว่าสามารถรวมกองกำลังกลุ่มชาติพันธุ์ติดอาวุธให้ต่อสู่กับกองทัพพม่า ขั้นตอนต่อไปคือให้กองกำลังต่างชาติเข้ามา
ช่วยเหลือเหมือนในอิรักในซีเรีย ที่สงครามกลางเมืองเริ่มขึ้นเพราะความขัดแย้งภายใน มีการจัดตั้งกองโจรขึ้นมาโดยมีสหรัฐฯกับพันธุมิตรอียูส่งอาวุธและส่งคนมาฝึกการรบให้ สุดท้ายก็ส่งกองกำลังทหารต่างชาติเข้ามา
สิ่งที่ยืนยันได้อีกอย่างคือขณะนี้คนสำคัญๆ ของนางออง ซาน ซู จี ลงเคลื่อนไหวใต้ดินแล้ว ดังนั้นการต่อต้านทหารยึดอำนาจจึงไม่ใช่#ขบวนอารยะขัดขืนอีกต่อไป แต่ได้กลายเป็นอนาธิปไตยไปแล้ว#
การปราบปรามโดยกองกำลังรักษาความมั่นคงของพม่าจึงสามารถอ้างความชอบธรรมจากหลักฐานที่ ดร.ซาซาให้สัมภาษณ์สำนักข่าวต่างประเทศได้
การที่กองกำลังทหารต่างชาติโดยเฉพาะอย่างยิ่งสหรัฐฯยากที่จะแทรกแซงเข้ามาในประเทศพม่าได้เหมือนในประเทศอิรัก ซีเรียและหลายประเทศในอเมริกากลาง #เพราะพม่ามีจีนรัสเซียเป็นมหามิตรที่มีผลประโยชน์มหาศาลร่วมกันมายาวนาน#
ที่สำคัญจีนกับรัสเซียต่างก็เป็นสมาชิกถาวรของสภาความมั่นคงสหประชาชาติ อเมริกาไม่สามารถใช้ยูเอ็นเป็นเครื่องมือเล่นงานพม่าได้ง่ายๆ เหมือนที่เคยใช้กับประเทศอื่นๆ
และสิ่งที่ ดร.ซาซา ซึ่งเป็นกระบอกเสียงสำคัญของนางออง ซาน ซู จี ในสหรัฐและอียูพูดกับรอยเตอร์เป็นที่ยืนยันว่าทั้งฝ่ายนางออง ซาน ซู จี และฝ่ายนายพลมิน อ่อง หล่าย ต่างก็กระสันอยากได้กลุ่มชาติพันธุ์มาเป็นพวกยอมแลกกับการเปลี่ยนสหภาพพม่าให้เป็นสหพันธรัฐ
ทว่าเกมนี้ถ้าเปรียบเทียบกันแล้วฝ่ายนายพลมิน อ่อง หล่าย ได้เปรียบกว่า เพราะเคยเป็นแม่ทัพภาคตะวันออกที่รู้ดีว่ากลุ่มชาติพันธุ์ต้องการอะไร และนายพลมิน อ่อง หล่าย ได้รับมอบหมายจากอดีตประธานาธิบดีเต๊ง เซ่ง ให้เจรจาสันติภาพกับกลุ่มชาติพันธุ์ แต่พรรคเอ็นแอลดีของนางออง ซาน ซู จี ชนะเลือกตั้งเมื่อ 16 พ.ย. 2558 ได้เป็นรัฐบาลบริหารประเทศ การเจรจาของทหารกับกลุ่มชาติพันธุ์จึงหยุดชะงักไปหลายปี
ชาวพม่าผู้ช่ำชองการเมืองพม่าบอกเราว่านายพลมิน อ่อง หล่าย มีแผนการจะพูดคุยเรื่องสหพันธุ์รัฐกับชาติพันธุ์ทีละกลุ่ม แต่การประท้วงเกิดจลาจลเกิดฆ่ากันตายในหมู่ชาติพันธุ์พม่า กลุ่มชาติพันธุ์ต่างก็ระวังตัวเพราะกลัวถูกประชาคมนานาชาติประณามไปด้วย
“แต่ตอนนี้สถานการณ์ค่อยๆ คลี่คลายไปในทางที่ดี ไม่มีประท้วงใหญ่ไม่มีปะทะมาสองวันแล้ว” ผมมั่นใจว่าในการเจรจาเรื่องสหพันธ์กับกลุ่มชาติพันธุ์ต้องเกิดขึ้นแน่นอนและนายพลมิน อ่อง หล่ายได้เปรียบกว่า เพราะว่ากลุ่มชาติพันธุ์ระแวงไม่ไว้ใจนางออง ซาน ซู จี
เขาพูดถึงเหตุการณ์สำคัญสองครั้งที่ทำให้กลุ่มชาติพันธุ์ไม่มั่นใจในนางออง ซาน ซู จี คือหลังเลือกตั้งปี 1990 นางออง ซาน ซู จี ตั้งรัฐสภาเงาขึ้นมาแล้วชักชวนกลุ่มชาติพันธุ์มาร่วมขบวนการ คนของกลุ่มชาติพันธุ์หลายคนถูกสั่งจำคุกคนละ 40-50 ปี แต่ภายหลังได้รับอภัยโทษ ส่วนนางอองซาน ซู จี เพียงถูกกักบริเวณอยู่ในบ้านพักตัวเอง
เหตุการณ์ที่สองเมื่อครั้งเลือกตั้งปี 2558 กลุ่มชาติพันธุ์ไม่ต้องการมีส่วนร่วมในการเลือกตั้งในเขตของตน แต่ทนการคะยั้นคะยอจากนางออง ซาน ซู จี
ไม่ได้ แต่พอชนะเลือกตั้งได้เป็นรัฐบาลนางไม่เชิญกลุ่มชาติพันธุ์เข้าร่วมรัฐบาลเลย
เกมการเมืองเพื่อเอาชนะใจกลุ่มชาติพันธุ์โดยมีสหพันธรัฐเดิมพัน กองทัพและทหารพม่าจึงเป็นต่อนักการเมืองหลายช่วงตัว ส่วนความพยายามของนักการเมืองที่สร้างสถานการณ์ให้ดูเลวร้ายเพื่อให้ต่างชาติส่งกองกำลังเข้ามาไม่มีทางเป็นไปได้
#ที่หลายคนกังวลสงสัยว่าพม่าจะเกิดสงครามกลางเมืองไหมฟันธงได้ว่าไม่มี#
สุทิน วรรณบวร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี