นโยบายต่างประเทศของไทยได้ปรากฏอยู่ในกฎหมายรัฐธรรมนูญ และในถ้อยแถลงต่อรัฐสภาของคณะรัฐบาลฝ่ายบริหาร นำโดย นายกรัฐมนตรี ซึ่งสะท้อนพันธกรณีที่ไทยมีต่อประชาคมโลก โดยเฉพาะกับการที่ไทยเป็นสมาชิกองค์การสหประชาชาติ และสมาชิกประชาคมอาเซียน เป็นสำคัญ อีกทั้งยังสะท้อนความเป็นตัวตนของสังคมไทยที่มุ่งมั่นเป็นสังคมเปิด อยู่กับระบบเศรษฐกิจการค้าแบบทุนนิยม และมุ่งมั่นการเป็นสังคมที่เคารพในเรื่องสิทธิมนุษยชน โดยเฉพาะความเป็นเสรีชน และการดำรงชีวิตภายใต้บริบทของความเป็นประชาธิปไตย
โดยตลอดประวัติศาสตร์จัดได้ว่าตั้งแต่ยุคสมัยสุโขทัย ไทยก็มองออกไปสู่โลกกว้าง ข้องแวะกับประชาคมโลกทั้งใกล้และไกลมาโดยตลอด ไทยไม่เคยปิดประเทศ ไม่เคยปิดหูปิดตาตนเอง ไทยได้ออกไปเผชิญและผจญภัย โดยเปิดประตูให้กับโลกกว้างเสมอมาซึ่งประเทศไทยได้ผ่านพ้นภยันตราย และความท้าทายต่างๆ มาได้ กล่าวได้ว่า ไทยนั้นประสบความสำเร็จอย่างยิ่งยวด เพราะสามารถรักษาเอกราช และสร้างชาติให้เจริญก้าวหน้าได้ และที่สำคัญไทยไม่เคยหวั่นไหว อดสูต่อการต้อนรับดูแลผู้หนีร้อนจากบ้านเมืองของเขา มาสู่ความร่มเย็นและผาสุกของไทย
ณ วันนี้ คือตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564 ได้เกิดเหตุการณ์ปฏิวัติที่ประเทศพม่า โดยฝ่ายกองทัพได้ยึดอำนาจจับกุม คุมขัง ตั้งศาลเตี้ย แล้วก็ทำการไล่ต้อนและปราบปรามประชาชนพลเมืองด้วยอาวุธอย่างอำมหิตทารุณกรรม ไร้เมตตา
ความทารุณใดๆ การลิดรอนสิทธิมนุษยชน ไม่ใช่เรื่องกิจการภายในของประเทศหนึ่งใด หากแต่เป็นเรื่องของประชาคมโลก โลกไม่ยอมรับว่ากลุ่มผู้ครองอำนาจรัฐหนึ่งใดจะทำการตามอำเภอใจกับประชาชนพลเมืองเขาอย่างไรก็ได้ เขากระทำไม่ได้เพราะผิดกฎหมายระหว่างประเทศ ผิดหลักมนุษยธรรม และฉะนั้น ก็เป็นภาระหน้าที่ของโลกที่จะต้องร่วมกันต่อต้าน นำความสงบกลับสู่บ้านเมืองของประเทศนั้นๆ เราต่างเป็นมนุษย์โลกก็ต้องช่วยเหลือเกื้อกูลกัน
ประเทศและประชาชนพลเมืองที่จะได้รับผลกระทบโดยตรงและมากที่สุดจากเหตุการณ์ปฏิวัติรัฐประหารและปราบปรามประชาชนพลเมืองในพม่า ก็คือประเทศไทยซึ่งมีเขตแดนยาวร่วมกับพม่ากว่า 2,000 กิโลเมตร
เหตุการณ์ในพม่ากระทบต่อผลประโยชน์ของไทยโดยตรง ทั้งในเรื่องความมั่นคงปลอดภัยตลอดแนวชายแดนจากการใช้อาวุธ รวมทั้งการทิ้งระเบิดจากเครื่องบินการหลบหนีภยันตรายจากน้ำมือของกองทัพพม่าของชาวพม่าต่างๆ เพื่อหาความปลอดภัย และการอยู่รอดในชีวิตประจำวันพื้นฐานด้วยอาหารและน้ำอุปโภคบริโภค
ก็เป็นที่คาดหมายและเป็นที่หวังของประชาคมโลกโดยทั่วไปของชาวพม่าเป็นการเฉพาะ และของชาวไทยที่มีมิตรจิตมิตรใจ ที่รัฐบาลไทยจะต้องเป็นตัวตั้งตัวตีในการช่วยแก้ไขความขัดแย้งในพม่า ในการรักษาความสงบตลอดแนวชายแดน ในการช่วยเหลือผู้อพยพลี้ภัยต่างๆ ด้วยหลักมนุษยธรรม
แต่ทว่า ชาวโลกและชาวอาเซียนต่างก็ผิดหวังไปตามๆ กัน ที่รัฐบาลไทยพูดจาไม่ชัดถ้อยชัดคำในประเด็นปัญหาของพม่า จะมีความชัดเจนบ้างก็คือท่าทีเกรงอกเกรงใจแม่ทัพนายกองพม่า เสมือนหนึ่งว่าเป็นหัวอกเดียวกันโดยไม่ได้คำนึงถึงหัวอกของชาวพม่า และพันธกรณีด้วยหลักสิทธิมนุษยชน และหลักมนุษยธรรมเลย
ในสายตาชาวโลก จึงดูเสมือนว่า ผู้นำไทยนั้นปฏิเสธที่จะรับผิดชอบตามพันธกรณี และปกป้องผลประโยชน์ของไทยในการรักษาความมั่นคงตลอดแนวชายแดน และการเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในเรื่องมนุษยธรรม
ความเดือดเนื้อร้อนใจต่อความเป็นไปในพม่ากลับไปตกอยู่ที่ผู้นำอินโดนีเซีย และมาเลเซีย และตามด้วยสิงคโปร์ มันจึงเป็นที่น่าอาย น่าอดสู น่าเจ็บกระดองใจที่ผู้นำไทยไม่รับผิดชอบ และสละโอกาสนำพา แถมยังทำให้ประชาคมโลกและเพื่อนอาเซียนหมดกำลังใจ รู้สึกท้อแท้และอาจแถมด้วยการดูถูกดูแคลนไทยอีกด้วยว่า ทำไมถึงช่างใจจืดใจดำต่อชาวพม่า ทำไมจึงไม่เห็นแก่ประชาธิปไตยและสิทธิเสรีภาพ และทำไมไม่ช่วยแก้ปัญหาภายในครอบครัวประชาคมอาเซียน?
ถ้าย้อนกลับไปดูที่กฎหมายรัฐธรรมนูญ และถ้อยแถลงของรัฐบาล ต่อรัฐสภาแล้ว ก็คงจะกล่าวได้ว่า พลเอกประยุทธ์จันทร์โอชา รวมทั้งรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีต่างประเทศดอน ปรมัตถ์วินัย ได้เลือกที่จะละเว้นจากการปฏิบัติหน้าที่ในการดำเนินนโยบายต่างประเทศตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด รวมทั้งตามที่รัฐบาลของตนได้แถลงไว้
ภาพของการตอบสนองต่อปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองของพม่าของรัฐบาลไทย จึงออกมาแบบไม่ดำเนินการใดๆ หรือหลีกเลี่ยงที่จะดำเนินการ อย่างที่เราๆ ท่านๆ ได้เห็นกันอยู่
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี