ประเทศไทยอยู่ภายใต้การบริหารโดยการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินต่อเนื่องมาถึง 16 เดือนแล้ว โดยมีข้ออ้างว่าเพื่อประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด ซึ่งแรกเริ่มเดิมทีคนทั้งหลายก็ให้ความเชื่อถือและให้กำลังใจสนับสนุน โดยหวังความสวัสดีที่จะเกิดแก่แผ่นดินและราษฎร
ประชาชนทั่วประเทศยอมถูกริบสิทธิเสรีภาพ ยอมถูกบังคับยอมรับความเดือดร้อนและความเสียหายโดยไม่ปริปากในตอนแรกด้วยหวังว่าอำนาจเมื่อได้ใช้โดยธรรมย่อมบังเกิดอานุภาพใหญ่หลวงในการกำจัดปัดเป่าภัยพิบัติของแผ่นดินได้สำเร็จโดยเร็ววัน
แต่ทว่า 16 เดือนผ่านไป สิ่งที่ประชาชนคาดหวังและเชื่อมั่นกลับมลายหายไปอย่างสิ้นเชิง แต่ละวันมีแต่เสียงก่นด่าสาปแช่ง จนเทพยดาฟ้าดินก็อาจต้องอุดหูไม่อยากได้ยินด้วยความเมตตาสงสารแก่ราษฎรผู้ยาก เพราะ 15 เดือนผ่านไป แทนที่เหตุการณ์จะดีขึ้นกลับซ้ำร้ายซ้ำหนักยิ่งกว่าเดิมหลายเท่า และไม่มีความหวังอันใดเลยที่จะเห็นแผ่นดินนี้กลับคืนสู่ความเป็นปกติ
เพราะโดยผลแห่งกฎหมายฉุกเฉินบัญญัติให้โอนอำนาจรัฐมนตรีทุกกระทรวงแก่นายกรัฐมนตรีหรือผู้ที่นายกรัฐมนตรีมอบหมาย โดยให้มีการแต่งตั้งมอบหมายให้ ศบค. เป็นผู้ดำเนินการ
ศบค. เป็นเทวดามาจากไหนเล่า? ก็มาจากหมอที่ได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจจากฝ่ายการเมือง 7-8 คน ปลัดกระทรวงจำนวนหนึ่ง และรัฐมนตรีจำนวนหนึ่ง และมีการประชุมกันสัปดาห์ละครั้งบ้าง มากกว่านั้นบ้าง หรือน้อยกว่านั้นบ้าง เหตุนี้จึงทำให้ราชการแผ่นดินวิปริตฟั่นเฟือนโดยทั่วไป
เพราะ ศบค. ไม่สามารถสั่งราชการในกระทรวงต่างๆ ได้ ในทางความเป็นจริงจึงเป็นเพียงองค์กรที่ออกมาตรการต่างๆ ส่วนจะปฏิบัติได้หรือไม่เพียงใดนั้นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
15 เดือนผ่านไปแล้ว การใช้อำนาจตามกฎหมายสถานการณ์ฉุกเฉินที่ว่าเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาการระบาดของโควิดอย่างมีประสิทธิภาพนั้นกลับกลายเป็นว่าก่อให้เกิดปัญหาและความเคลือบแคลงสงสัยในใจประชาชนทั้งสิ้น และทั้งหมดที่ออกมาตรการล้วนบังคับประชาชนโดยมีคุกตะรางเป็นเครื่องมือ ซึ่งสามารถสรุปมาตรการสำคัญได้ดังนี้
ประการแรก การรายงานข่าวในลักษณะสร้างกระแสที่ส่งผลให้เกิดความตื่นตระหนกตกใจกลัวอย่างไร้เหตุผล เช่น ยอดจำนวนผู้ติดเชื้อสะสมและรายวัน ตลอดจนจำนวนผู้เสียชีวิต ในขณะที่มีการเผยแพร่ความร้ายแรงถึงขนาดเป็นซอมบี้ในระยะแรกก็ปรากฏมาแล้ว ทำให้เกิดความระส่ำระสายขึ้นทั่วประเทศ ซึ่งถ้าในภาวะปกติย่อมถือว่าเป็นการบ่อนทำลายความมั่นคงของชาติอย่างร้ายแรง
ประการที่สอง ได้มีการออกมาตรการที่จำกัด ห้ามปรามการทำมาหากินของประชาชนและภาคธุรกิจโดยทั่วไป และมีความเข้าใจในหมู่ประชาชนโดยทั่วไปว่าเป็นมาตรการเลือกปฏิบัติ ซึ่งไม่จำเป็นต้องกล่าวในรายละเอียดอีก
ประการที่สาม มีการก่อหนี้ให้กับแผ่นดินจำนวนที่สูงที่สุดในประวัติศาสตร์ของชาติ จำนวนหนึ่งนำไปใช้จ่ายในการจัดซื้อจัดหาซึ่งมีข่าวคาวฉาวโฉ่ไม่ขาดระยะ แต่ไม่มีการชำระสะสางเอาผิดกับผู้เกี่ยวข้องในการกระทำความผิดนั้น ทุกคนยังลอยนวลและดูเหมือนว่ามีการปกป้องกันอย่างแยบยล และอีกส่วนหนึ่งก็ได้นำเงินไปแจกแก่ผู้มีรายได้น้อย หรือไร้อาชีพ หรือตกงาน ซึ่งถูกติเตียนว่าโดยผลแล้วเงินช่วยเหลือเหล่านั้นจะตกได้แก่นายทุนชาติไม่กี่รายและมีข่าวคาวฉาวโฉ่เรื่องการทุจริตไม่ต่างกัน แต่ทุกอย่างก็เงียบหายไปตามสายลม ในขณะที่ภาคธุรกิจแท้ไม่ว่าขนาดใหญ่ ขนาดกลาง และขนาดเล็ก ไม่เคยได้รับการเยียวยาตามกฎหมายสถานการณ์ฉุกเฉินที่เป็นชิ้นเป็นอันเลย
ประการที่สี่ มีการผูกขาดขบวนการป้องกัน นั่นคือการผูกขาดเรื่องวัคซีนโดยใช้บางหน่วยงานเป็นเครื่องมือปกปิดข้ออ้างที่ว่าเปิดเสรี แต่แท้จริงเป็นการผูกขาดเพราะมีแต่กลุ่มทุนอิทธิพลบางรายเท่านั้นที่ได้รับอนุญาต เป็นผลให้ประเทศไทยได้รับวัคซีนช้าและเป็นวัคซีนที่มีปัญหาระดับโลก จนถึงวันนี้ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะมี
ผู้ยอมฉีดวัคซีน 62 ล้านโดส ตามที่ไปตกลงจัดซื้อกันมา ซึ่งอาจมีอนาคตที่ประเทศไทยต้องเสียค่าโง่อีก สร้างความเจ็บช้ำน้ำใจให้กับประชาชนอย่างกว้างขวาง
ซึ่งถ้าหากไม่มีเถยจิตและต้องการเปิดเสรีวัคซีนจริงๆ ก็ง่ายดายประดุจพลิกฝ่ามือ คือใช้อำนาจตามกฎหมายสถานการณ์ฉุกเฉินให้นำเข้าวัคซีนโดยเสรี โดยต้องเป็นวัคซีนที่รัฐบาลผู้ผลิตรับรอง ซึ่งผู้นำเข้าและโรงพยาบาลที่ใช้วัคซีนจะต้องรับผิดชอบต่อประชาชนตามกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภคเต็มจำนวนอยู่แล้วก็จะเกิดประโยชน์ตน ประโยชน์ท่าน แต่ไม่ทำ
ประการที่ห้า เกิดการผูกขาดชุดตรวจโควิดซึ่งส่วนใหญ่เป็นชุดตรวจที่ผลิตในประเทศจีนและใช้กันอยู่ทั่วโลก แต่มีเพียงผู้ประกอบการบางรายเท่านั้นที่ได้รับอนุญาตให้นำเข้าในขณะที่รายอื่นไม่ได้รับอนุญาต ทำให้ต้นทุนชุดตรวจชุดละประมาณ200 บาท แต่ประชาชนต้องจ่ายค่าตรวจในอัตราสูงถึง 1,800-8,000 บาทต่อคนต่อครั้ง และหลายคนต้องตรวจถึงสองครั้งเพื่อความแน่ใจ เป็นการซ้ำความทุกข์ยากลำเค็ญให้แก่ประชาชน ซึ่งถ้าหากจะแก้ปัญหานี้จริงๆ ก็แค่ใช้กฎหมายตามสถานการณ์ฉุกเฉินให้นำเข้าโดยเสรีก็จะแก้ปัญหานี้ได้
ประการที่หก เกิดการผูกขาดการรักษาและผูกขาดข้อมูลเกี่ยวกับการรักษา ไม่ให้ประชาชนทั่วไปรับทราบว่าวิธีการรักษาโควิดนั้นเป็นการรักษาตามอาการ ซึ่งกว่า 90% หายในระยะเวลา 3-8 วัน มีเพียงประมาณ 1% เท่านั้นที่มีโรคประจำตัวหรือโรคแทรกซ้อนทำให้เกิดปอดบวมหรือปอดอักเสบ ทำให้การรักษาต้องนานไป แต่ส่วนใหญ่ก็มีความปลอดภัย
ดังนั้นกฎหมายสถานการณ์ฉุกเฉินจะบังเกิดประสิทธิภาพประสิทธิผลจริงหรือไม่ก็อยู่ที่การใช้เพื่อประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน หรือเพื่อประโยชน์ตนและทุนผูกขาด หรือเพื่อให้หมอชนะ ผลจะเป็นประการใดก็ขึ้นอยู่กับการใช้อำนาจประการนั้น
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี