ปัญหาเฉพาะหน้าเวลานี้ คือ จำนวนผู้ป่วยรายวัน พุ่งสูงขึ้นต่อเนื่อง ทำให้เกิดปัญหา “คอขวด” ของระบบสาธารณสุข (ดังปรากฏในภาพบน) ทำให้ผู้ป่วยโควิดบางรายต้องรออยู่ที่บ้าน บางรายเสียชีวิต จำนวนคนตายรายวันมากขึ้น และการฉีดวัคซีนหลังจากนี้จะมีประสิทธิภาพแค่ไหน
1. ล่าสุด 25 เมษายน 2564 ผู้ติดเชื้อในประเทศเพิ่ม 2,433 คน
ในจำนวนนี้ เป็นผู้ติดเชื้ออยู่ใน กทม.ถึง 1,078 คน
ส่วนจังหวัดที่มีผู้ติดเชื้อรายวันเกินร้อย ยังเหลือนนทบุรี 115 คน และเชียงใหม่ 163 คน โดยเฉพาะเชียงใหม่นี่มีคลัสเตอร์ใหม่เกิดขึ้นด้วย ยังต้องเฝ้าระวังติดตามว่าจะขยายจำนวนแบบทวีคูณอีกหรือไม่
ส่วนชลบุรี ประจวบฯ ฯลฯ ที่เคยทะลุร้อยต่อวัน เริ่มลดระดับลงแล้ว
อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดนี้ คือผลผลิตจากพฤติกรรมสังคมในช่วงวันที่ 11- 18 เม.ย.เป็นหลัก (ก่อนจะเริ่มใช้มาตรการเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา)
2. แน่นอนว่า ยอดผู้ติดเชื้อใน กทม.ระดับพันคนต่อวัน เป็นปัญหาใหญ่
สภาพปัญหาที่ตามมา คือ ระบบรับ-ส่งผู้ป่วยมีปัญหา เตียงรองรับผู้ป่วยในโรงพยาบาลหลักก็มีปัญหา แม้เตียงในโรงพยาบาลสนามจะมีว่าง แต่ผู้ป่วยจะต้องเข้าไปโรงพยาบาลหลักก่อน 24 ชม. เพื่อตรวจวินิจฉัยความหนัก-เบาของอาการ แล้วจึงจะส่งแยกไปตามระดับอาการ
ล่าสุด นายกฯ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ติดตามแก้ไขเรื่องนี้ ทราบว่ามีผู้ป่วยตกค้างอยู่นอก
โรงพยาบาล 1.4 พันคน และจะแก้ไขดังนี้
“1. เรื่องการดูแลผู้ป่วย ได้มีการสั่งการหน่วยงานของกระทรวงสาธารณสุข ดังนี้
1.1 ให้จัดเตรียมเตียงเพิ่มเติมที่มีประสิทธิภาพเทียบเท่าโรงพยาบาลสำหรับผู้ป่วยทุกคน เร่งแก้ปัญหาเตียงเต็มของโรงพยาบาลในกรุงเทพฯ ด้วยการบูรณาการระบบส่งตัวผู้ป่วยกับหน่วยงานขนส่งต่างๆ เพื่อนำส่งไปยังโรงพยาบาลในปริมณฑล
1.2 โดยในวันนี้ ผู้ป่วยที่ตกค้างอยู่นอก รพ. จำนวน 1,423 คน จะเริ่มได้รับการติดต่อนัดหมายเพื่อนำส่งโรงพยาบาลอย่างรวดเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ตามความเร่งด่วนของอาการ และทั้งหมดจะต้องใช้เวลาไม่เกิน 2-3 วันนับจากวันนี้
1.3 แก้ปัญหาการเชื่อมโยงเครือข่าย ด้วยการเพิ่มเติมคู่สายผู้รับโทรศัพท์ให้เพียงพอต่อจำนวนผู้ป่วยที่เพิ่มขึ้น
1.4 แก้ปัญหาการเชื่อมต่อระหว่างสถานที่ตรวจของเอกชนกับระบบของรัฐให้ได้โดยเร็วที่สุด โดยให้ปรับรูปแบบการคัดกรอง ให้ไปคัดกรองที่โรงพยาบาลสนามแทน
โรงพยาบาลทั่วไปเพื่อลดการแออัด จากนั้นทางรัฐจะติดต่อเพื่อสอบถามอาการ ความรุนแรง และนัดเวลาไปรับมารักษา
1.5 เพิ่มบุคลากรอาสาทางการแพทย์ และเจ้าหน้าที่ฝ่ายต่างๆ จากทุกภาคส่วน รวมถึงภาคธุรกิจเอกชน มาช่วยงานในภารกิจต่างๆ
1.6 หากสถานการณ์ระบาดรุนแรงขึ้น อาจพิจารณาลดเวลาในการกักตัวในโรงพยาบาลสำหรับผู้ไม่มีอาการหรืออาการน้อย จาก 14 วันลงเหลือ 10 วัน และให้กักตัวที่บ้านอย่างเคร่งครัดและมีระบบติดตามดูแล ซึ่งจะช่วยทำให้มีเตียงเพิ่มขึ้น จะช่วยลดภารกิจของบุคลากรทางการแพทย์...”
พูดง่ายๆ ว่า แก้ปัญหาเดิมที่คนป่วยทุกคนจะต้องหลั่งไหลไปที่โรงพยาบาลหลักก่อน เปลี่ยนเป็นไปตรวจคัดกรองที่โรงพยาบาลสนามแทน (ดังในภาพล่าง)
2. ที่นี้ โรงพยาบาลสนามจะเป็นยุทธภูมิสำคัญมากขึ้นไปอีก งานจะหนักขึ้น เพราะผู้ป่วยจะถูกรับจากบ้าน
ไปส่งโรงพยาบาลสนาม (ซึ่งมีจำนวนเตียงมากกว่าโรงพยาบาลหลัก)
การจัดระบบทำอย่างไร?
นายกฯ พลเอกประยุทธ์ ชี้แจงว่า การจัดกลุ่มผู้เข้ารับการรักษาพยาบาล แบ่งเป็น
1) ระดับสีเขียว (ผู้ป่วยไม่มีอาการหรืออาการน้อย) จัดให้เข้าโรงพยาบาลสนาม
2) ระดับสีเหลือง (ผู้ป่วยอาการปานกลาง)จัดให้เข้าโรงพยาบาลทั่วไป
3) ระดับสีแดง (ผู้ป่วยอาการรุนแรง) จัดให้เข้าโรงพยาบาลเฉพาะทาง
และแบ่งการจัดการออกเป็น 3 กลุ่มตามหมายเลขสายด่วน
1) 1668 กรมการแพทย์ เป็นผู้รับผิดชอบ
2) 1669 กรุงเทพมหานคร เป็นผู้รับผิดชอบ
3) 1330 สปสช. เป็นผู้รับผิดชอบ ในส่วนของกลุ่มโรงพยาบาลเอกชน
3. โรงพยาบาลสนามใน กทม.ในหลายแห่ง หลายหน่วยงาน ทั้งของ กทม. กองทัพ มหาวิทยาลัย ฯลฯ ล้วนมีบทบาทสำคัญ ทำงานหนัก และต้องการกำลังทรัพยากรและกำลังใจทุกแห่ง
ยกตัวอย่าง โรงพยาบาลสนามที่มีการจัดการน่าชื่นชมมาก คือ โรงพยาบาลสนามธรรมศาสตร์ฯ
ดำเนินการมา 14 วันแล้ว ( ณ วันที่ 24 เมษายน) เพจโรงพยาบาลสนามธรรมศาสตร์ฯ ให้ข้อมูลและยุทธวิธีการทำงานไว้อย่างน่าสนใจ บางตอนว่า
“...เมื่อวาน (23 เม.ย.) เป็นวันแรกที่จำนวนผู้ป่วยในประเทศข้ามหลัก 2,000 ราย และที่น่าตกใจคือจำนวนผู้ป่วยใหม่ในกทม. พุ่งขึ้นสูงเกิน 700 รายแล้ว แม้จะคาดการณ์ไว้แล้วว่าครบหนึ่งสัปดาห์หลังเทศกาลสงกรานต์ตัวเลขจะต้องสูงขึ้น และจะสูงพอๆ กันนี้ไปอีกตลอดสัปดาห์ที่สอง แต่กระโดดไปทีเดียว 500 รายนี่ก็ทำให้คนตกใจกันทั้งประเทศแหละ
เราไม่รู้ว่า ศบค.และรัฐบาลจะตัดสินใจอย่างไร ในทางนโยบาย แต่ในภาคปฏิบัติปลายทางที่ต้องดูแลผู้ป่วยอยู่ที่ธรรมศาสตร์ เรายังยืนยันอยู่ว่า เราพร้อม เราไหว และเราจะยันไว้ให้ได้จนสุดกำลังความสามารถ #เราเชื่อว่าเราเอาอยู่ #เราทำงานหนักแล้วและจะทำให้หนักขึ้นอีก
ตัวเลขผู้ป่วยรับเข้าใหม่ในรพ.สนามเมื่อวานอยู่ที่ 38 ราย จากรพ. 7 แห่ง แต่เราก็สามารถส่งผู้ป่วยกลับบ้านได้มากกว่า เป็นจำนวน 57 คน บวกลบแล้วผู้ป่วยในรพ. สนามวันนี้ลดลงอีกเกือบ 20 คน เหลือผู้ป่วยนอนอยู่กับเราที่นี่เพียง 320 เตียง แปลว่ายังมีเตียงว่างพร้อมรับคนไข้ที่ผ่าน 48 ชม.แล้วจากรพ. ต่างๆ ทั่วกทม.ได้อีกมากกว่า 170 เตียง เชื่อเราว่า#เราเอาอยู่#แม้จะมามากเหมือนวันนี้ไปอีกสัปดาห์นึงก็ตาม แต่ก็หวังว่าคงไม่มามากอย่างนี้ต่อเนื่องไปทุกวันตลอดทั้งเดือนนะคะ
ระบบงานและการจัด flow ของการรับส่งผู้ป่วยตลอดจนการดูแลรักษาอาการผู้ป่วยที่ได้ปรับใหม่เมื่อวานจะทำให้พวกเราคล่องตัวขึ้น ทำงานได้เร็วขึ้น และจะรับมือสถานการณ์ที่มีผู้ป่วยเพิ่มขึ้นมาอย่างวันนี้ไปได้อีกอย่างน้อย 1 สัปดาห์ เพื่อรอให้สัปดาห์ต่อไปมีตัวเลขผู้ป่วยใหม่ที่ลดลงกว่านี้ได้
ที่รพ.ธรรมศาสตร์ฯ รพ.หลักของเรา กำลังเตรียมการอย่างเต็มที่ที่จะรองรับผู้ป่วยหนักที่กำลังเพิ่มจำนวนมากขึ้นอย่างรวดเร็ว ในเช้าวันจันทร์นี้ ICU โควิดที่จะเปิดเพิ่มขึ้น และจะมีเตียงรับผู้ป่วยหนักอีกถึง 16 เตียง พร้อมด้วยเวชภัณฑ์ และอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ทันสมัยที่สุดที่เรามีอยู่
แต่เมื่อดูการพยากรณ์ของโรค และความรุนแรงของการติดเชื้อในรอบนี้ เราก็รู้ว่าเราไม่สามารถรับผู้ป่วยอาการหนักไว้ได้ทั้งหมดแน่ แต่เรากำลังรบเพื่อประวิงเวลา ดูแลรักษาสถานการณ์ไม่ให้เลวร้ายลงไปกว่านี้ในส่วนของผู้ป่วยอาการหนัก และพยายามลดอัตราการตายลงให้ได้มากที่สุด
โดยเชื่อมั่นว่าถ้าเราสามารถประวิงสถานการณ์ไม่ให้เลวร้ายไปกว่านี้มากนักอีกเพียงสัปดาห์เดียวจำนวนผู้ป่วยก็จะเริ่มค่อยๆ ลดลง และสถานการณ์จะค่อยๆ ดีขึ้นตามลำดับ นี่คือยุทธวิธีและความคาดหวังของพวกเราที่รพ.ธรรมศาสตร์ฯ...”
ผู้บริหารใหญ่ของโรงพยาบาลสนามธรรมศาสตร์ฯ ก็คือ ศ.ดร.สุรพล นิติไกรพจน์ และรศ.นพ.พฤหัส
ต่ออุดม ผอ.รพ.ธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ ผู้วางรากฐานดัดแปลงหอพักนศ.เป็น รพ.สนามธรรมศาสตร์ฯ 494 เตียง
4. โรงพยาบาลสนาม จะเก่งแค่ไหนก็ไม่ใช่โรงพยาบาลเทวดาที่จะรองรับได้ไม่จำกัด
ความจริง คือ ทรัพยากรเรามีจำกัด เช่นเดียวกับทุกประเทศ เมื่อตัวเลขผู้ติดเชื้อพุ่งทะยานขึ้นต่อเนื่อง (อังกฤษ สหรัฐ ญี่ปุ่น ก่อนนี้ตายคาบ้านกันจำนวนมาก สถานการณ์เละเทะกว่าไทยเยอะ)
เราสร้างโรงพยาบาลสนามเพิ่มได้ มีเตียงเพิ่ม มีรถพยาบาลทหารมาช่วยวิ่งรับส่งผู้ป่วยเพิ่ม (วันนี้เพิ่มอีก 50 คัน) มียาเพิ่ม (วันจันทร์นี้มาอีก 2.2 ล้านเม็ด) แต่เราเพิ่มบุคลากรทางการแพทย์อย่างฉับพลันทันทีไม่ได้
ความหวัง คือ จะต้องลดจำนวนผู้ติดเชื้อรายวันให้ได้
ด้วยมาตรการที่เริ่มใช้ตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้ว 18 เม.ย. และมาตรการที่ยกระดับเพิ่มเติมอีกในสัปดาห์นี้
นายกฯ พลเอกประยุทธ์สั่งการให้ “2.1 สั่งการให้ทุกจังหวัด เพิ่มความเข้มงวดในการควบคุมสถานการณ์ ตามกลุ่มที่ได้แบ่งไว้ โดยผู้ว่าราชการจังหวัดมีอำนาจในการพิจารณายกระดับมาตรการการป้องกันโรค ปิดสถานที่ต่างๆ ได้เพิ่มเติมที่จำเป็น 2.2 พิจารณาความจำเป็นในการออกประกาศปิดสถานที่หรือกำหนดเคอร์ฟิวในบางพื้นที่อย่างละเอียดรอบคอบถึงผลกระทบต่างๆ โดยผมในฐานะผู้อำนวยการศบค.จะติดตามกำชับการดำเนินการทุกข้ออย่างเร่งด่วน เพื่อแก้ไขปัญหาวิกฤติครั้งนี้ให้ลุล่วงไปให้ได้ โดยคำนึงถึงความปลอดภัยของพี่น้องประชาชนทุกคนเป็นอันดับแรกครับ”
ล่าสุด จังหวัดต่างๆ ทยอยประกาศมาตรการเพิ่มเติมออกมาแล้ว
มาตรการเหล่านี้ และความร่วมมือของคนไทย จะกลายเป็นผลิตผลที่จะออกมาตั้งแต่สัปดาห์นี้เป็นต้นไป
ตัวเลขผู้ติดเชื้อในสัปดาห์นี้ ต่อเนื่องไปถึงสัปดาห์หน้า จึงเป็นตัวเลขชี้เป็นชี้ตายประเทศไทยอย่างแท้จริง
เราคนไทยทุกคนช่วยกันเขียนตัวเลขนั้นได้ผ่านพฤติกรรมสังคม หยุดเชื้อ เพื่อชาติ สวมหน้ากากอนามัย ล็อกดาวน์ตัวเอง ใส่ใจสุขภาพตัวเองและผลกระทบต่อสังคม
และต้องช่วยกันประณามพฤติกรรมของฝ่ายการเมืองบางกลุ่ม ที่จ้องแต่จะเตะตัดขา ชิงอำนาจการเมือง ตั้งแต่โควิดรอบแรกจนถึงวันนี้ ช่างทำตัวไร้ประโยชน์ และเป็นตัวถ่วง มือไม่พาย อย่าเตะตัดขาฝีพาย
สันติสุข มะโรงศรี
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี