ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าในยามที่รัฐบาลกำลังซวนเซเพราะพิษโควิด-19 รัฐบาลจะกระทำเรื่องประหลาด พิสดาร และมหัศจรรย์อย่างที่คาดไม่ถึงให้ปรากฏแก่สายตาของสาธารณชน
เรื่องพิสดาร ประหลาด มหัศจรรย์ ประการหนึ่งที่เพิ่งบังเกิดเมื่อสองสามวันมานี้คือ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ ให้ข่าวว่า ขอให้คนไทยที่มีเงินฝากในธนาคารช่วยกันนำเงินฝากออกมาใช้จ่าย เพื่อดันให้ GDP ของประเทศเติบโตที่ระดับ ร้อยละ 4 ซึ่งเป็นตัวเลขเป้าหมายที่รัฐบาลตั้งความหวังไว้
รองนายกฯ สุพัฒนพงษ์ บอกว่า มีตัวเลขในบัญชี เงินฝากธนาคารของคนไทยในยุคนี้ เมื่อเทียบกับยุคเดียวกันของปีก่อน พบว่ามีจำนวนมากขึ้น 5-6 แสนล้านบาท ดังนั้นหากคนไทยช่วยกันนำเงินฝากแค่เพียง 1 ใน 3 หรือเพียงครึ่งหนึ่ง ออกมาใช้จ่ายเพื่อการบริโภคในประเทศ ก็จะผลักดันให้ GDP เติบโตขึ้นประมาณ ร้อยละ 1 และในเนื้อหาของข่าว
หลายสำนักยังระบุด้วยว่า นายสุพัฒนพงษ์กล่าวว่า หากมีคนไทยที่รักชาติช่วยกันนำเงินออกมาใช้จ่ายด้วยความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น ก็จะช่วยให้สภาพเศรษฐกิจกลับมาดีได้
แน่นอน เมื่ออ้างตามหลักเศรษฐศาสตร์ ไม่มีใครปฏิเสธว่า เศรษฐกิจของประเทศจะเติบโตได้ด้วยการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคภายในประเทศ แต่ปัญหาสำคัญอยู่ตรงที่คนส่วนใหญ่ในประเทศมีเงินเพียงพอสำหรับใช้จ่ายในชีวิตประจำวันหรือไม่ และมีเงินออมสำหรับใช้ในอนาคตหรือไม่
ในยุคที่ทั้งโลกเผชิญกับโควิด-19 เศรษฐกิจโลกก็หดตัวส่วนเศรษฐกิจไทยก็หดตัวจนกล่าวได้ว่าตกต่ำที่สุดในรอบ 22 ปี จนมีตัวเลขเศรษฐกิจเกือบไม่ต่างไปจากยุคต้มยำกุ้งเมื่อปี 2540 ทุกคนเห็นว่ารัฐบาลพยายามจะฟื้นเศรษฐกิจไทยให้ได้ โดยใช้สารพัดสารพันมาตรการอันเกี่ยวพันกับ helicopter money อาทิ บัตรสวัสดิการคนจน บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ คนละครึ่ง เราชนะ เราเที่ยวด้วยกัน เป็นต้น เหตุที่รัฐบาลต้องหว่านเงินเช่นนั้นก็เพื่อให้เศรษฐกิจไทยเดินหน้าต่อไปให้ได้
เพราะไม่สามารถหวังพึ่งรายได้จากการท่องเที่ยวโดยนักท่องเที่ยวต่างชาติได้อีกในระยะอย่างน้อย 1-2 ปีจากนี้ ส่วนรายได้จากการส่งออกสินค้าเกษตรก็ไม่มากพอ แม้จะมีข่าวว่าส่งทุเรียนไทยไปจีนตั้งหลายลำเรือก็ตาม ส่วนรายได้จากการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมอื่นๆ ก็ดูเสมือนว่าสินค้าไทยหลายตัวไม่เป็นที่ต้องการของตลาดโลก เพราะผู้อื่นผลิตได้ดีกว่า ราคาถูกกว่า มิหนำซ้ำการจ้างงานภายในประเทศ และการลงทุนในประเทศก็ยังดูไร้อนาคต
เมื่อย้อนไปดูโครงการหว่านเงินจากเฮลิคอปเตอร์ที่ใช้มาแล้วหลายโครงการ ซึ่งครอบคลุมประชากรในประเทศได้ประมาณ 40 ล้านคน ทำให้เม็ดเงินไหลไปสู่ระบบเศรษฐกิจประมาณ 5 แสนล้านบาท ซึ่งเม็ดเงินดังกล่าวช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศได้อย่างมีนัยสำคัญ แต่ก็ต้องไม่ลืมว่าเม็ดเงินนั้นก็ยังมีภาระทางการเงินของประเทศตามมา เพราะเป็นเงินที่มาจากการออกพันธบัตรรัฐ ซึ่งก็หมายถึงการก่อหนี้โดยภาครัฐ และหนี้ที่รัฐบาลก่อคือหนี้ของประชาชนทั้งประเทศ
เข้าใจว่าตอนนี้รัฐบาลตระหนักแล้วว่า ไม่ควรก่อหนี้ก่อสินต่อไปเรื่อยๆ จนไร้ปัญญาชดใช้ จึงหันมาเล่นบทเชิญชวนให้คนไทยผู้มีเงินออมนำเงินออกมาใช้เพื่อช่วยชาติ แต่ปัญหาติดตรงที่คนไทยส่วนใหญ่ไร้เงินออม ส่วนคนมีเงินออมมากๆ หลักร้อย หลักพัน หลักหมื่น หรือหลักแสนล้านบาทคือนายทุนใหญ่ที่มีความใกล้ชิดสนิทสนมกับรัฐบาล และบรรดานักการเมืองระดับรัฐมนตรี รวมถึงนักการเมืองจำพวกรวยโดยไร้เหตุผล คนกลุ่มนี้มีเงินฝากมหาศาล มีทรัพย์สินมากมาย ปัญหาอยู่ตรงที่ว่ารัฐบาลมีปัญญาดึงเงินจากคนเหล่านี้ออกไปช่วยประเทศได้หรือไม่ ส่วนคนไทยจำนวนมากนั้นมีเงินฝากสัก 2-3 แสนบาท ก็นับว่าบุญท่วมหัวแล้ว กรุณาอย่าไปดึงเงินออมของเขาออกมาเลย ให้เขาเอาไว้ใช้ยามแก่ชราเถอะ ถ้าเขามีโอกาสได้อยู่จนแก่
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี