หลายคนตั้งคำถามว่ารัฐบาลนี้ยังมีโฆษกอยู่หรือไม่?
หลายคนประชดว่าโฆษกชื่ออะไรใครรู้จักบ้าง?
คำตำหนิวิจารณ์ ฝ่ายประชาสัมพันธ์ของรัฐบาลที่ทะลักท่วมท้นบนสื่อสังคมเวลานี้เป็นที่ประจักษ์ว่าการประชาสัมพันธ์ของรัฐบาลล้มเหลว ตกเป็นฝ่ายตั้งรับที่จับทิศทางไม่ได้
ประเมินจากสภาพความเป็นจริงที่เกิดขึ้นพออนุมานได้ว่าความล้มเหลวด้านประชาสัมพันธ์อาจมาจากเหตุปัจจัยหลายประการ
ประการแรก เกิดจากปรากฏการณ์ของสื่อสังคมออนไลน์ไม่ว่าจะเป็นเฟซบุ๊ค ทวิตเตอร์อินสตาแกรม และ ไลน์ มีอิทธิพลต่อการครอบงำชี้นำสังคมมากขึ้น
และกลุ่มการเมืองที่อยู่ตรงข้ามรัฐบาล ทุ่มทุนมากมายมหาศาลในการบริหารจัดการให้สื่อสังคมครอบงำชี้นำมุ่งเป้าทำลายสถาบันและโจมตีรัฐบาล สื่อสังคมในที่นี้ไม่ได้มีเฉพาะคนไทยที่จัดตั้งไว้
แต่ปัญหาใหญ่อยู่ที่สื่อสังคมภาษาอังกฤษที่หน่วยงานประชาสัมพันธ์ของรัฐและหน่วยงานความมั่นคงไม่สนใจติดตาม หรือพบเห็นแล้วแต่เพิกเฉยมองข้ามไปเพราะไม่ใช่หน้าที่โดยตรง
ต่างชาติที่ใช้สื่อสังคมโจมตีสถาบันมีทั้งที่เป็นสื่อชาวตะวันตก สิงคโปร์ และคนไทยที่เขียนบทความบนสื่อออนไลน์ภาษาอังกฤษ #แต่น่าเสียดายที่ไม่สามารถนำเอาเนื้อหาโจมตีสถาบันจากคนเหล่านั้นมาเป็นหลักฐานหรือเผยแพร่ต่อได้เพราะผิดกฎหมายไทย
ประกอบกับองค์กรสื่อกระแสหลัก สถานีทีวีที่ได้เงินสนับสนุนจากรัฐบาลและองค์กรสื่อที่เป็นรัฐวิสาหกิจ ทำตัวเป็นแนวร่วมของเอ็นจีโอที่รับเงินต่างชาติมาสร้างสถานการณ์เลวร้ายโดยใช้ข้ออ้างว่า “สื่อไม่มีหน้าที่ประชาสัมพันธ์งานของรัฐ”
จากตรรกะพิกลพิการนี้ทำให้ทีวีไทยพีบีเอสและวิทยุ อสมท ทำตัวเหมือนเป็นปากเสียงให้กลุ่มเอ็นจีโอที่รับเงินต่างชาติมาเคลื่อนไหวตลอดถึงกลุ่มคนไทยต่อต้านสถาบันโดยไม่ตะขิดตะขวงใจ
กลุ่มเอ็นจีโอที่รับเงินจาก NED หน่วยงานซีไอเอพลเรือนของสหรัฐอเมริกาและคนไทยที่เป็นปฏิปักษ์ต่อสถาบันจึงเป็นแขกประจำของรายการโลกยามเช้าของวิทยุ อสมท และ รายการทอล์กโชว์ต่างๆ ของสถานีทีวีไทยพีบีเอส
ตัวอย่างที่เห็นชัดเจนคือผู้แทนศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนสากลกับ บก. บีบีซี ภาษาไทยที่เคยเสนอรายงานพิเศษเกี่ยวกับสถาบันก่อนย้ายไปอยู่ลอนดอน เป็นแขกประจำในรายการโลกยามเช้า จนแทบจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของทีมจัดรายการ
นางหทัยรัตน์ พหลทัพ บก. อีสานเรคคอร์ค ที่ยอมรับว่าเธอรับเงินจาก NED มาพัฒนาสื่อสังคมในพื้นที่อีสาน นางหทัยรัตน์เป็นเมียนายเดวิดสเตรคฟัสส์ ที่หลายคนสงสัยว่าเป็นซีไอเอมาฝังตัวเคลื่อนไหวอยู่ในเมืองไทย เขาเป็นซีไอเอจริงหรือไม่ไม่มีใครพิสูจน์ได้เพราะหน่วยงานนี้ปิดบัง Agent เป็นความลับสุดยอด
แต่สิ่งหนึ่งที่พิสูจน์ได้คือนายสเตรคฟัสส์และเมียของเขาเคลื่อนไหวร่วมกับนักวิชาการที่ต่อต้าน ก.ม.อาญา มาตรา 112 ซึ่งเป็น ก.ม.ปกป้องมิให้ขบวนการล้มล้างสถาบันโจมตี ลบหลู่ดูหมิ่นสถาบันอย่างเปิดเผยได้
นางหทัยรัตน์เมียนายสเตรคฟัสส์เคยมีบทบาทสำคัญในสถานีไทยพีบีเอสในฐานะผู้สื่อข่าวอาวุโสและบรรณาธิการอาวุโส ผู้บริหารระดับสูง คนที่เราเคารพในไทยพีบีเอส บอกว่านางลาออกไปตั้งแต่ปี 2561 ถึงแม้ลาออกไปแล้วก็จริง แต่อุดมการณ์ผลงานและแนวความคิดทัศนคติของนางยังมีอิทธิพลอยู่ในไทยพีบีเอสไม่มากก็น้อย
เพราะมีหลายครั้งที่ไทยพีบีเอสซึ่งรับเงินสนับสนุนจากรัฐบาลปีละเกือบสามพันล้านบาทเสนอข่าวหรือบทวิจารณ์ที่ไม่เป็นผลดีต่อรัฐบาลและประเทศไทย เช่นล่าสุดไทยพีบีเอสแชร์ข่าวปลอมเรื่องที่ชาวอินเดียจำนวนมากเช่าเหมาลำเครื่องบินหนีโควิดระบาดมาหลบภัยจากโรคร้ายในประเทศไทย
สรุปคือโซเชียล สื่อทีวีที่รับเงินสนุนรัฐบาลและสื่อที่เป็นองค์กรรัฐวิสากิจเสนอข่าวเป็นแนวร่วมของฝ่ายต่อต้านสถาบันฝ่ายรัฐบาลมีส่วนทำให้งานประชาสัมพันธ์ล้าหลังล้มเหลว
ประการสุดท้ายซึ่งเป็นประเด็นสำคัญสุดที่ทำให้งานประชาสัมพันธ์ของรัฐบาลกลายเป็นงานตั้งรับและจับทิศทางไม่ได้ คือโฆษกรัฐบาลเป็นเหมือนข้าวนอกนาที่หาแนวร่วมไม่ได้ เขากลายเป็นคนโดดเดี่ยวในพรรคแกนนำรัฐบาลที่ขับเคี่ยวอย่างรุนแรงในหมู่กลุ่มนัก
การเมือง
โฆษกรัฐบาลที่ประสบความเสร็จในอดีตล้วนแต่เป็นคนใกล้ชิดเป็นที่ไว้วางใจของนายกรัฐมนตรี บางคนเป็นลูกหม้อของพรรคแกนนำรัฐบาล อาทิ ดร.ไตรรงค์ สุวรรณคีรี นอกจากเป็นสมาชิกคนสำคัญของพรรคประชาธิปัตย์แล้ว ยังเป็นคนที่ป๋ารักและไว้วางใจ ดร.ไตรรงค์จึงได้ชื่อว่าเป็นโฆษกรัฐบาลที่ป้องกันนายกรัฐมนตรีจากการโจมตีได้ดีที่สุดคนหนึ่ง
หรือนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ไต่เต้ามาจากสมาชิกธรรมดาของ ปชป. ขึ้นมาเป็นโฆษกรัฐบาลเพราะนายกรัฐมนตรี ชวน หลีกภัย ไว้วางใจและมั่นใจในความรู้ความสามารถ
โฆษกรัฐบาลที่นายกรัฐมนตรีไว้วางใจเปรียบได้เหมือนรัฐมนตรีประชาสัมพันธ์ ในบางกรณีโฆษกรัฐบาลช่วยงานนายกฯในการต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองและเจรจากับตัวแทนของมิตรประเทศ ตลอดถึงมีส่วนรับผิดชอบในเนื้อหาปาฐกถาคำปราศรัยของนายกรัฐมนตรีในที่สาธารณะหรือในวาระประชุมนานาชาติ
จึงเห็นภาพติดตาว่านายกฯออกงานเมื่อไหร่ก็ได้เห็นโฆษกเป็นเงาติดตัวงานนั้น และในหลายครั้งที่โฆษกเป็นผู้ร่างหรือทบทวนคำปาฐกถา (Speech) ของนายกฯในวาระสำคัญๆ นักข่าวในอดีตจึงได้รับ Speech ของนายกฯ ที่ใช้ปาฐกถาในเวทีประชุมนานาชาติเช่น การประชุมอาเซียนซัมมิต ก่อนหน้าที่นายกฯจะปาฐกถาจริงเสียด้วยซ้ำ สำคัญที่ว่านักข่าวสมัยก่อนเขารักษาจรรยาบรรณไม่เผยแพร่ Speech ก่อนหน้านายกรัฐมนตรีจะ Speech อย่างเป็นทางการ
แม้แต่รัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตรก็เลือกเอาลูกหม้อของพรรคไทยรักไทยที่ได้รับความไว้วางใจมาจนถึงพรรคเพื่อไทยอย่างนายสุรนันทน์ เวชชาชีวะมาเป็นโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่หลายครั้งเป็นผู้เขียน Speech ให้นายกรัฐมนตรีใช้ในเวทีสากล ถึงแม้บางครานายกรัฐมนตรีมีคำว่า Thanks you 3 times ตามมาด้วย
ส่วนโฆษกรัฐบาลปัจจุบัน เป็นเหมือนข้าวนอกนาที่หลงเข้ามาอยู่ในพรรคแกนนำรัฐบาลผสมที่มีนักการเมืองมาจากร้อยพ่อพันแม่ มีหลายก๊กหลายมุ้ง หลายก๊วนและแต่ละก๊วนก็มีกระบอกเสียงของตัวเอง
นายกรัฐมนตรีมีเลขาฯ มีทีมงานประชาสัมพันธ์ของตัวเอง จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่นายกฯไปราชการที่ไหน ไปปาฐกถาในเวทีใดเราไม่ค่อยได้เห็นหน้าโฆษกรัฐบาลในงานนั้นๆ ที่สำคัญนายกฯ เป็นคนพูดเร็วและพูดไม่เป็นประเด็นคือบ่นไปเรื่อยๆ ตามความพอใจ โฆษกฯจึงไม่สามารถนำเอาปาฐกถามาขยายความทำประชาสัมพันธ์ได้ ในบางคราบางกรณีโฆษกมีหน้าที่ต้องแก้ข่าวที่นายกฯพูดแล้วคนเข้าใจในแง่สองง่ามสามมุม
รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ ก็มี นายธนกร วังบุญคงชนะ เป็นกระบอกเสียงไว้ตอบโต้กับฝ่ายตรงข้าม นอกจากนั้นยังมีแรมโบ้อีสานที่ปฏิบัติการตอบโต้ฝ่ายตรงข้ามนายกรัฐมนตรีทุกวิถีทาง แต่การตอบโต้ทางการเมืองไม่ใช่การประชาสัมพันธ์งานของรัฐบาล
พรรคประชาธิปัตย์ พรรคภูมิใจไทย พรรคพลังประชารัฐต่างก็มีรองโฆษกสาวสาวสาว ไว้เผยแพร่ข่าวสารของผลงานรัฐบาล แต่ละท่านเน้นไปที่ผลงานพรรคร่วมรัฐบาลที่ตัวเองสังกัด
โฆษกรัฐบาลคนปัจจุบันเข้ามาทำงานในโควตาของอดีตกลุ่มแกนนำ กปปส. ที่แยกตัวออกจากพรรคประชาธิปัตย์ มาร่วมงานการเมืองมาเป็นก๊กหนึ่งใน พปชร. ในห้วงเวลาที่อดีตแกนนำกปปส. เป็นรัฐมนตรีมีอำนาจบารมีโฆษกท่านนี้ก็เชิดหน้าชูตา แต่วันนี้อำนาจบารมีของอดีตแกนนำกปปส. ลดน้อยถอยลงไปหลังสองรัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่งหน้าที่ โฆษกท่านนี้จึงเหมือนข้าวนอกนาหาแนวร่วมไม่ได้ นี่คือสาเหตุใหญ่ว่าทำไมงานประชาสัมพันธ์รัฐบาลจึงเป็นงานตั้งรับจับทิศทางไม่ได้
สุทิน วรรณบวร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี