นายลี เซียนลุง นายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ดีใจถึงกับเก็บอาการไม่อยู่ ออกจากห้องประชุมเรียกผู้สื่อข่าวนสพ.สเตรทไทม์ส ซึ่งเป็นสื่อทางการของสิงคโปร์มาให้สัมภาษณ์ทันทีว่า
“มิน อ่อง หล่าย ยินดีรับความช่วยเหลือจากอาเซียนทั้งการช่วยเหลือด้านสิทธิมนุษยชนและช่วยเจรจาให้ทุกฝ่ายปรองดองกัน..”
นายลี เซียนลุง จนแสดงอาการดีใจออกนอกหน้าคงเป็นเพราะว่าสิงคโปร์เป็นผู้ลงทุนรายใหญ่ที่สุดในพม่ามูลค่าถึง 24,114 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งต่างกับอเมริกาที่ลงทุนไว้เพียง 574 ล้านดอลลาร์ อเมริกาจึงปั่นกระแสสงครามกลางเมืองในพม่าได้เพราะผู้เสียหายส่วนใหญ่ไม่ใช่นายทุนจากสหรัฐฯ
“ผู้นำเมียนมายินดีต้อนรับตัวแทนจากประธานอาเซียนไปเจรจากับทุกฝ่ายเพื่อให้ได้ข้อสรุปเพื่อสันติภาพและความก้าวหน้าของระบอบประชาธิปไตยในเมียนมา” นายลี เซียนลุง กล่าวกับนสพ.ทางการสิงคโปร์
ทูตยูเอ็นประจำเมียนมานางชราเนอร์ เบอร์กเนอร์ที่ประกาศว่าจะจัดประชุมคู่ขนานวิจารณ์รัฐบาลทหารพม่าในกรุงจาการ์ตาระหว่างประชุมอาเซียนซัมมิตนัดพิเศษแต่ไม่มีใครให้ความสนใจ
นางเบอร์กเนอร์ บินมาติดค้างอยู่ในกรุงเทพฯตั้งแต่สองอาทิตย์ก่อนหน้า เพราะรัฐบาลทหารพม่าไม่ยอมออกวีซ่าให้เข้าประเทศ โดย “เบอร์กเนอร์”เป็นทูตยูเอ็นประจำพม่า ที่ด่าประณามทหารที่กระทำการยึดอำนาจตั้งแต่วันแรก
ทูตยูเอ็นประจำพม่า ฟังความข้างเดียวตลอดมาราวกับว่าเป็นหนึ่งในทีมปฏิบัติการข่าวของประเทศตะวันตกโดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา ที่เอาแต่ข่มขู่ด่าว่าแซงก์ชั่น
รัฐบาลทหาร นางเบอร์กเนอร์ เคยขู่ว่าจะคว่ำบาตรพม่าเธอได้รับคำตอบจากโฆษกทหารพม่าว่า
“เราเคยชินกับการคว่ำบาตรแล้ว..” แต่นางยังขู่ต่อว่าประชาคมนานาชาติจะทำให้พม่าโดดเดี่ยว และได้รับคำตอบว่า “เมียนมาเรียนรู้ที่จะเดินเคียงคู่ไปกับมิตรแท้สองสามราย (สองสามประเทศ)”
ต้องชื่นชมอาเซียนที่ยื่นมือเข้ามารับช่วงแก้ปัญหาวิกฤติในพม่า หลังจากยูเอ็นเป็นเป็ดง่อยทำอะไรไม่ได้ เพราะอเมริกาทำซ่า ไปคว่ำบาตรรัสเซียเรื่องยูเครน เป็นผลให้อเมริกาไม่สามารถใช้สภาความมั่นคงสหประชาชาติแทรกแซงพม่าได้เพราะไม่ว่าอเมริกาทำอะไร รัสเซีย-จีน ขัดขวางทุกอย่าง
เมื่ออาเซียนยื่นมือเข้ามาช่วยจัดการทำให้ลดความตึงเครียดและความรุนแรงลงทันที แหล่งข่าวในร่างกุ้งกล่าวว่า “การประท้วงรุนแรงในเมืองใหญ่ไม่มีแล้ว ในต่างจังหวัดยังมีบ้างประปรายแต่ผู้ประท้วงส่วนใหญ่เป็นวัยรุ่นกลุ่มละสองสามร้อยคน คิดว่าภายในสิ้นเดือนนี้การประท้วงคงหมดไป.” แหล่งข่าวกล่าว
ท่าทีที่อ่อนลงของฝ่ายต่อต้านรัฐบาลทหารเห็นได้จากที่ ดร.ซาซา พูดว่าแถลงการณ์อาเซียน 5 ข้อรับได้ “นั้นคือสิ่งที่รัฐบาลเอกภาพแห่งชาติ (NUG) เรียกร้องตลอดมา” ดร.ซาซา ผู้แทนนานาชาติของกรรมการสมัชชาแห่งรัฐสภา (ซีอาร์พีเอช) กล่าวกับสำนักข่าวเอเอฟพี
ดร.ซาซา อดีตทูตพม่าประจำสหประชาชาติผู้ลุกขึ้นประณามทหารยึดอำนาจเมื่อวันที่ 1 ก.พ. เขาถูกเรียกตัวกลับประเทศ แต่ขัดขืนและแปรพักตร์ไปอยู่ฝ่ายต่อต้านรัฐบาลทหารเวลานี้อยู่ระหว่างหลบซ่อนตัวกล่าวด้วยว่า
“เราตั้งตารอการมีส่วนร่วมของเลขาธิการ อาเซียนเรามองไปข้างหน้ารอความเคลื่อนไหวที่หนักแน่นของอาเซียนในการทำตามการตัดสินใจของพวกเขา และฟื้นฟูประชาธิปไตย เสรีภาพเพื่อประชาชนของเรา และเพื่อทั่วทั้งภูมิภาค” ดร.ซาซา กล่าวสรุป
การประชุมอาเซียนนัดพิเศษในกรุงจาการ์ตาเพื่อปรึกษาแก้ปัญหาวิกฤติพม่า อาเซียนได้มีฉันทามติห้าข้อ
1.ต้องยุติความรุนแรงในเมียนมาทันที และทุกฝ่ายต้องใช้ความยับยั้งชั่งใจอย่างเต็มที่
2.ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องจะเจรจาหารืออย่างสร้างสรรค์เพื่อแสวงหาทางออกที่สันติเพื่อประโยชน์ของประชาชน
3.ตัวแทนพิเศษของประธานอาเซียนจะอำนวยความสะดวกในการไกล่เกลี่ยกระบวนการเจรจาหารือ โดยได้รับความช่วยเหลือจากเลขาธิการอาเซียน
4.อาเซียนจะให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม ผ่านศูนย์ประสานงานการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมของอาเซียน AHA Centre (ASEAN Coordinating Center for Humanitarian Assistance)
5.ทูตพิเศษและผู้แทนอาเซียนจะเดินทางไปเมียนมาเพื่อพบกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง
ฉันทามติของอาเซียนครั้งนี้เป็นที่พอใจของทุกฝ่ายเพราะการแก้วิกฤติในพม่าไม่ได้ชี้นิ้วไปที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งว่าเป็นผู้ร้าย แต่เน้นคำว่า “ทุกฝ่าย” ซึ่งต่างกับปฏิบัติการข่าวของตะวันตกโดยเฉพาะสหรัฐอเมริกาที่เจาะจงโจมตีประณามคว่ำบาตรรัฐบาลทหารพม่า
แหล่งข่าวในกลุ่มชาติพันธุ์ ที่มีกองกำลังติดอาวุธต่อสู้กับรัฐบาลกลางสหภาพพม่ามาหลายทศวรรษ บอก “แนวหน้า” ว่า “มติ 5 ข้อของอาเซียนออกมาเป็น
กลางไม่ได้เน้นไปที่ทหารหรือฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด ให้ยุติความรุนแรงทันที หมายถึงทุกฝ่าย ทหารพม่า ฝ่ายต่อต้านตลอดถึงกลุ่มชาติพันธุ์ #ที่สำคัญผู้แทนเลขาธิการอาเซียนจะเข้ามาปูทางเจรจากับทุกฝ่ายเป็นไปได้ว่ากลุ่มชาติพันธุ์มีส่วนในการเจรจา”#
อดีตทหารอเมริกันที่เข้ามาฝังตัวอยู่เมียนมาปลุกระดมให้กองกำลังชาติพันธุ์โดยเฉพาะกลุ่มกะเหรี่ยง KNU ให้จับอาวุธขึ้นมาต่อสู้กับทหารพม่าที่เข่นฆ่าประชาชนในเวลานี้ ปรากฏว่าทำได้เพียงจัดตั้งกองกำลัง#ปืนแก๊ปและหนังสติ๊ก#
ก รรมการสมัชชาแห่งรัฐสภา (พีอาร์ซีเอช) ซึ่งรัฐบาลทหารประกาศว่าเป็นกลุ่มผิดกฎหมายปลุกระดมให้ประชาชนจับอาวุธขึ้นมาโค่นล้มรัฐทหารพม่าตั้งแต่เดือนมี.ค. ว่า “จับอาวุธที่ขึ้นมาโค่นล้มรัฐทหารไม่ผิดกฎหมาย..”
หนึ่งเดือนผ่านไปได้วัยรุ่นชายประมาณ 200 คนเข้าป่าไปฝึกการใช้อาวุธกับกองพลที่ 2 ของกะเหรี่ยง KNUที่พะโค ตะวันออกเฉียงเหนือของย่างกุ้งห่างไกลจากชายแดนไทย
“เป็นพวกวัยรุ่นคึกคะนองบ้าคลั่งจะทำอะไรทหารพม่าได้เพราะอาวุธร้ายแรงที่สุดที่มีคือปืนแก๊ปและหนังสติ๊ก คิดว่าไม่กี่วันคงออกจากป่าคนที่พื้นฐานจากในเมืองทนอยู่ป่านานไม่ได้” แหล่งข่าวกล่าว
เหตุการณ์นองเลือด 8888 ทำให้นักศึกษาและประชาชนพม่ากว่า 20,000 ราย หนีตายเข้าป่าไปจับปืนทำสงครามกับทหารพม่า แต่อยู่ไม่นานคนเหล่านั้นก็ถอนตัว
ออกมา
“คนเมืองเข้าไปอยู่ในป่าไม่สามารถปรับได้สุดท้ายก็ออกจากป่าเหตุการณ์ในครั้งนั้นมีผลทำให้กองกำลังกลุ่มชาติพันธุ์อ่อนแอลงไปด้วย” แหล่งข่าวในย่างกุ้งกล่าว
แหล่งข่าวผู้คุ้นเคยกับการต่อสู้ของกลุ่มชาติพันธุ์ในพม่าพูดถึงเหตุการณ์ประท้วงและปราบปรามครั้งใหญ่ในพม่าเมื่อวันที่ 8 เดือนสิงหาคม พ.ศ. 2531
(พม่านับวันเดือนปีตามคริสต์ศักราช จึงเรียกเหตุการณ์ครั้งนั้นว่า 8888 คือวันที่ 8 เดือน 8 ค.ศ. 1988)
“ที่กองกำลังกลุ่มชาติพันธุ์บางกลุ่มอ่อนแอลงและสลายตัวหลังจากนักศึกษาเข้าป่าหลังนองเลือด 8888 เพราะว่าการเข้าป่าในครั้งนั้น มีสายของทหารแฝงตัวเข้าไปด้วยและครั้งนี้ก็เหมือนกันเราจึงมั่นใจว่าไม่นานกองกำลังปืนแกปหนังสติคต้องสลายตัว” เขากล่าว
กองกำลังของกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีผลกระทบอย่างรุนแรงจากเหตุการณ์ 8888 คือกะเหรี่ยง KNU กองกำลังกู้ชาติมอญ KNU โดยการนำของนายพลโบเมียะ KNU เคยเป็นกองกำลังต่อต้านรัฐบาลทหารพม่าที่เข้มแข็งที่สุด มีกำลังติดอาวุธกว่า 30,000 นาย
แต่แตกสลายในเวลาเพียง 7 ปีหลังจากรับนักศึกษาพม่ามาร่วมรบ ปี 2535 กลุ่มหทารที่นับถือศาสนาพุทธก่อขบถแล้วแยกตัวออกมาตั้งกองกำลังกะเหรี่ยงพุทธ
สองปีต่อมาปี 2537 ทหารพม่าโจมตีฐานที่มั่นและกองบัญชาการเบอร์นาปลอว์ KNU ได้ ตั้งแต่นั้นมา KNU แทบเรียกได้ว่าล่มสลายไม่มีฐานที่มั่นใกล้ชายแดนไทยอีกเลย
KNU กลายเป็นกองโจรกลุ่มเล็กกลุ่มน้อยที่เคลื่อนไหวตามหมู่บ้านกะเหรี่ยงในแนวป่าริมฝั่งแม่น้ำสาละวินและบางส่วนอยู่ใกล้ด่านเจดีย์สามองค์ ตรงข้ามจังหวัดกาญจนบุรีของไทย ส่วนกองกำลังกู้ชาติมอญ และ ไตใหญ่ หรือ SSA ใต้ (ฉานหรือไตใหญ่แตกแยกเป็นฉานเหนือฉานใต้ ) แทบไม่ได้ใช้กำลังติดอาวุธต่อสู้กับทหารพม่าเลยในห้วงเวลาเกือบสามทศวรรษที่ผ่านมา
เป็นที่น่าสังเกตว่าปฏิบัติการข่าวตะวันตกโดยเฉพาะ สหรัฐอเมริกา กระพือข่าวปั่นกระแสสงคราม กลางเมืองจากข่าวลือของกลุ่มชาติพันธุ์ที่อยู่ใกล้ชายแดนไทยซึ่งไร้พลังไปแล้วและใช้คนเหล่านี้เป็นเครื่องมือปลุกระดมให้เกิดสงครามกลางเมืองในพม่า
ส่วนกองกำลังที่แข็งแกร่งอย่างกองกำลังกู้ชาติ UWSA ของ ว้า KIA ของคะฉิ่น และ ปะลองที่อยู่ใกล้ชิดติดชายแดนจีน ซึ่งควบคุมทรัพยากรธรรมชาติหยกพลอย และแร่หายาก (rare earth) จำนวนมากมายมหาศาล แทบไม่เคยเอ่ยถึงในปฏิบัติการข่าวตะวันตกและสหรัฐอเมริกา
จึงสรุปว่าอาเซียนมาถูกทางแล้วที่ยื่นมือเข้ามาแก้ปัญหาวิกฤติในพม่าเพื่อกันชาติตะวันตกโดยเฉพาะอย่างยิ่งสหรัฐอเมริกาออกไปป้องกันไม่ให้เกิสงครามกลางเมือง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี