คำว่า โรงพยาบาลสนาม ตามสามัญสำนึก หรือความรู้สึกนึกคิดของผู้คนโดยทั่วๆ ไป มักจะโยงใยไปกับสงครามการสู้รบ หรือไม่ก็ภัยธรรมชาติขนาดใหญ่ ที่มีผู้ได้รับความเดือดร้อนเป็นจำนวนมาก ซึ่งต้องการความช่วยเหลือ รวมทั้งการรักษาพยาบาลอย่างเร่งด่วน ณ บริเวณพื้นที่เกิดเหตุ หรือใกล้เคียง
หากเป็นคอภาพยนตร์โรแมนติก ก็คงไม่พ้นที่จะนึกถึงพยาบาลสาวที่แสนจะน่ารักน่าเอ็นดู หากเปี่ยมไปด้วยความกล้าหาญและเสียสละอย่างเป็นที่สุด เป็นวีรสตรีในดวงใจและในความทรงจำ
กลับมาที่โลกแห่งความเป็นจริง โรคระบาดโควิด-19 นั้นอยู่กับมวลมนุษย์มาร่วมปีกว่าแล้ว โดยสร้างความปั่นป่วนใหญ่เป็นระลอกๆ ผสมกับการกลายพันธุ์อีกด้วย เสมือนประชาคมโลกตกอยู่กลางสนามสงคราม ประเทศต่างๆ มีการสู้รบทั้งรอบๆ และประชิดตัว
ดังนั้น ถ้าจะเหมาเรียกสถานพยาบาล รวมไปถึงคลินิกเอกชน โดยรวมว่าเป็นโรงพยาบาลสนาม ก็คงไม่ผิดนัก ซึ่งควรจะต้องมีการวางแผน และประสานงานกัน เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด
ข้อมูลทางสถิติถือเป็นเรื่องสำคัญในการตัดสินใจในการวางแผนรับมือ ซึ่งบรรดาตัวเลขการเจ็บป่วยรวมยอด ตัวเลขการหายป่วย ตัวเลขการเสียชีวิต และตัวเลขที่ยังต้องรับการรักษาพยาบาล รัฐบาลไทยได้มีการประกาศให้สาธารณชนทราบโดยหน่วยงานทางสาธารณสุขเป็นหลัก เป็นรายวัน ในขณะเดียวกันสาธารณชนก็สามารถเข้าถึงซึ่งข้อมูลข่าวสารได้อย่างรวดเร็ว ผ่านทางระบบสารสนเทศ อีกทั้งสื่อต่างๆ ก็ยังติดตามข่าวคราวอย่างใกล้ชิดต่อเนื่อง ซึ่งเป็นประโยชน์ยิ่ง
ก่อนหน้านี้ โดยองค์รวมอาจกล่าวได้ว่า ประเทศไทยนั้นสามารถป้องกันตัวได้ดี เลขสถิติโดยทั่วไปไม่ถือว่าเข้าขั้นวิกฤติ เนื่องจากผู้คนต่างมีวินัย มีความระมัดระวัง และดูแลตนเองกันอย่างดีซึ่งเป็นเรื่องที่น่าชื่นชมยิ่ง นอกจากนั้นประเทศไทยเรายังมีเจ้าหน้าที่ด้านสาธารณสุข และฝ่ายปกครองที่ทำงานกันอย่างแข็งขัน รวดเร็ว ถึงลูกถึงคน จนผลการรับมือโควิด-19 ของไทยได้รับคำชื่นชมในเวทีโลก
อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังมีพวกสำมะเลเทเมา เห็นแก่ตัว เสพติดวัตถุ และกามารมณ์ ที่ทำตัวสุ่มเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ซึ่งพฤติกรรมเหล่านี้เป็นการทำร้ายสังคมและประเทศชาติ ยังดีที่สังคมไทยตื่นตัวโดยเจ้าหน้าที่ก็ต้องตื่นตาม ทำหน้าที่ “ดับเพลิง” กันเป็นครั้งๆ เป็นระยะๆ ไป หลังจากรักษากันจนหายแล้ว ก็หวังว่าจะได้มีการดำเนินคดีที่เหมาะสมกับคนเหล่านี้ ส่วนบาปกรรมก็คงต้องรับกันไป กลายเป็นนักโทษในจิตใจตนเองไปตลอดชีวิตโดยเฉพาะรายที่นำเชื้อไปติดต่อให้กับบุคคลอันเป็นที่รักของตน
ส่วนในการระบาดระลอก 3 นี้ หากฟังตามที่นายกฯประกาศไว้ ก็พอเข้าใจได้ว่า ประเทศไทยของเรายังคุมสถานการณ์ได้เตียงคนไข้ในโรงพยาบาลของรัฐ เอกชน รวมกันแล้ว ยังสามารถรับมือจำนวนผู้ป่วยที่เพิ่มขึ้นได้
แต่จู่ๆ ก็มีหน่วยงานรัฐ เริ่มที่กองทัพเรือประกาศเปิดโรงพยาบาลสนามขึ้นมา (โดยไม่มีข่าวว่า ใช้งบประมาณใดและจัดหาบุคลากรมาจากไหน อย่างไร)
จากที่ฟังนายกฯ บอกว่า สถานการณ์โควิด-19 นั้นยังควบคุมได้อยู่ ประชาชนไม่ต้องตกใจ ก็เลยกลายเป็นต้องตกใจว่าผู้ป่วยโควิด-19 น่าจะเริ่มล้นสถานบริการสาธารณสุขของไทยกันแล้วสิ เพราะหากโรงพยาบาลถาวรทั่วไปมีอยู่เพียงพอแล้วจริงๆ เหตุใดต้องมีโรงพยาบาลสนามอุบัติขึ้นมารองรับสถานการณ์กันด้วยเล่า? ซึ่งยังไม่มีคำชี้แจงออกมาจากฝ่ายรัฐบาล
อดมองไม่ได้ด้วยความกังวลว่า หากทางโรงพยาบาลรัฐและโรงพยาบาลเอกชนจะเก็บเตียงไว้บริการเฉพาะผู้ป่วยชั้นดี (มีทุนทรัพย์ หรือไม่ก็มีเส้นมีสาย) ก็เท่ากับว่าชาวบ้านที่ป่วยโควิด-19 ต้องไปโรงพยาบาลสนามเท่านั้น กลายเป็นการแยกแยะระหว่างวรรณะรวย-จน ขึ้นมา ทั้งๆ ที่รัฐบาลไทยประกาศเอาไว้ว่า ผู้ป่วยโควิด-19 ทุกคนต้องได้รับการรักษาโดยไม่มีเงื่อนไข
ที่กล่าวเช่นนั้น เพราะผมเองแน่ใจว่า เราคงไม่ได้เห็น ผู้มีตำแหน่งแห่งหนในแวดวงการเมือง และราชการ รวมทั้งผู้มีอันจะกินทั้งหลายทั้งปวง ที่ป่วยด้วยโรคโควิด-19 ถูกส่งไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลสนามเป็นแน่แท้ เพราะยังมีเตียงในโรงพยาบาลประจำที่สงวนเอาไว้รอพวกเขาอยู่ ยังไม่นับโรงแรมหรูๆ ที่แปลงสภาพเป็นสถานพยาบาล เพื่อรองรับดูแลอย่างดีเยี่ยมได้
แต่หากรัฐบาลประกาศออกมาชัดเจนว่า เตียงในโรงพยาบาลของเรามีไม่เพียงพอแล้ว จึงต้องใช้นโยบายที่ชัดเจนว่า โรงพยาบาล(ทั้งภาครัฐและเอกชน) จะใช้รักษาเฉพาะผู้ป่วยอาการหนักเท่านั้น ส่วนผู้มีอาการไม่หนักทุกคน ให้ไปรักษา และกักตัวในโรงพยาบาลสนาม (โดยแบ่งพื้นที่ผู้ไม่แสดงอาการ กับผู้มีอาการออกจากกันอย่างเด็ดขาด) อย่างนี้ก็จะพอเข้าใจได้ว่า มันมีความจำเป็นจะต้องตั้งโรงพยาบาลสนามกันแล้ว ประชาชนที่ยังไม่ติดเชื้อก็จะต้องตระหนักถึงสถานการณ์นี้ และพยายามป้องกันตัวเองอย่างเต็มที่ ไม่ชะล่าใจให้ตนเองสุ่มเสี่ยงรวมทั้งรัฐจะต้องจัดหาระบบการติดต่อสื่อสาร และระบบบริหารจัดการ ประสานงาน และการลำเลียงผู้ป่วยไปยังที่รักษา ที่เพียงพอและสามารถรองรับจำนวนผู้ป่วยในสถานการณ์จริงได้
ถึงเวลาที่รัฐบาลจะออกมาพูดความจริงกันในเรื่องสถานการณ์โควิด-19 ระลอก 3 ในไทยกันได้แล้ว ว่าตกลงแล้ว เอาอยู่หรือเอาไม่อยู่ กันแน่?
หากเอาไม่อยู่ ก็ถึงเวลาที่จะต้องตัดสินใจยอมใช้ยาแรงเพื่อไม่ให้สถานการณ์ลุกลามไปกว่านี้
มิเช่นนั้นแล้ว ไทยเราจะไม่ได้สูญเสียเพียงแค่ทางเศรษฐกิจ หากแต่พังทลายทั้งระบบบริการสาธารณสุข และสังคมไปด้วย
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี