ในที่สุดก็มาถึงวันที่การแพร่ระบาดโควิด ลงไประบาดในชุมชนแออัดต่างๆ ใน กทม. แล้ว ซึ่งเป็นสิ่งที่หลายคนกังวลมาตลอด สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19ในรอบนี้กำลังบั่นทอนความน่าเชื่อถือของรัฐบาลโดยตรงโดยเฉพาะมาตรการที่ออกมาไม่รู้ว่าจะช้าเกินไปหรือไม่ ?กับการควบคุมการแพร่ระบาดในพื้นที่ กทม. และปริมณฑล ที่ถือว่าสถานการณ์อยู่ในช่วงวิกฤติ
โดยเฉพาะล่าสุดที่พบการแพร่ระบาดในย่านชุมชนคลองเตยที่มีประชาชนอาศัยอยู่ร่วม 1 แสนคน นับว่าเป็นโจทย์ใหญ่ของทั้ง ศบค. สาธารณสุข และ กทม.ที่ต้องร่วมกันหาทางออกของเรื่องนี้ โดยจากการลงพื้นที่ตรวจเชิงรุกในพื้นที่พบว่ามีอัตราผู้ติดเชื้อเฉลี่ย 5-10% ต่อผู้ตรวจ ซึ่งถ้าหากคิดในอัตรานี้จะมีผู้ติดเชื้อราวๆ 5,000-10,000 คน ในพื้นที่ชุมชนแล้วในปัจจุบันและสามารถแพร่กระจายได้ทุกนาทีทำให้อัตราอาจทวีคูณมากขึ้นในทุกๆ วัน ตัวเลขการประมาณการดังกล่าวไม่ใช่ตัวเลขที่ฟังแล้วน่าตกใจ
แต่กลับเป็นคำถามว่า รัฐบาลจะจัดการกับปัญหานี้อย่างไร ? เมื่อต้องเผชิญผู้ติดเชื้อทั่วประเทศกว่า 1,000-2,000 คนต่อวันอยู่แล้ว ยังต้องจัดการคัดกรองผู้ติดเชื้อในพื้นที่นี้ให้ได้เพื่อแยกผู้ติดเชื้อออกจากครอบครัวและลดการแพร่ระบาด โดยนายกฯ ได้มีการประชุมหารือส่วนราชการเป็นการเร่งด่วนในเรื่องพื้นที่ชุมชนคลองเตย
กรุงเทพมหานคร ถือเป็นจุดยุทธศาสตร์สูงสุดของประเทศ เพราะเป็นทั้งแหล่งรวมสถานพยาบาลที่มากที่สุด มียาและเครื่องมือที่พร้อมที่สุดและเป็นจุดสุดท้ายของผู้ป่วยวิกฤติที่มาจากทั่วประเทศ แต่ตอนนี้กทม.กำลังวิกฤติ จากการแพร่ระบาดในสายพันธุ์ใหม่ที่แพร่เชื้อได้ง่ายและเร็วกว่า เบื้องต้นรัฐบาลได้สั่งให้มีการตรวจเชิงรุกในชุมชนเพิ่มขึ้นอย่างเร่งด่วน ทั้ง 39 ชุมชน เน้นไปที่ที่ 20 ชุมชนที่เกิดการระบาดแล้ว โดยเร่งตรวจชุมชนที่มีการติดเชื้อ ให้ได้อย่างน้อย 1,000-1,500 คนต่อวัน โดยหน่วยเคลื่อนที่ และรถเก็บตัวอย่างชีวนิรภัยพระราชทาน ตั้งเป้าตรวจเชิงรุกให้ได้อย่างน้อยทั้งหมด 20,000 คน เพื่อประเมินสถานการณ์และคัดกรองผู้ติดเชื้อ ซึ่งต้องติดตามต่อไปว่าจะสามารถควบคุมสถานการณ์ไม่ให้พื้นที่คลองเตยเป็นคลัสเตอร์ขนาดใหญ่ของ กทม. ได้หรือไม่ ?
การบริหารสถานการณ์ในช่วงที่ผ่านมาจะเห็นว่าสาธารณสุขมีความพยายามในการควบคุมการแพร่ระบาดและต้องการเอกสิทธิ์ในการบริหารสถานการณ์ แต่ด้วยสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป ประกอบกับการล่ารายชื่อไล่ รมว.สาธารณสุข ให้พ้นจากตำแหน่งก็ทำให้ท่าทีของรมว. เปลี่ยนไป โดยล่าสุดออกมาให้สัมภาษณ์ทำนองว่า ตนเองเป็นเพียงผู้ใต้บังคับบัญชาของนายกฯ การตัดสินใจในเรื่องการบริหารสถานการณ์ก็เป็นเรื่องของนายกฯ ไม่ใช่ตนเอง ซึ่งก็สอดรับกับการออกคำสั่งล่าสุดในเรื่องการบริหารสถานการณ์ว่าให้โอนอำนาจที่เกี่ยวข้องกับการบริหารสถานการณ์มาอยู่ในมือของนายกฯ แต่เพียงผู้เดียว รวมถึงการตั้งคณะกรรมการวัคซีนทางเลือกที่จะเร่งจัดหาวัคซีนเพื่อเพิ่มศักยภาพในการป้องกันการแพร่ระบาดของประเทศ โดยไม่มีการตั้งรมว.สาธารณสุขเป็นกรรมการ ซึ่งก็อาจสร้างความกังวลใจจากเจ้ากระทรวงสาธารณสุขหรือไม่ ?
ตอนนี้ สถานการณ์เปลี่ยนไป สิ่งที่ประชาชนกำลังให้ความสนใจมากที่สุดคือเรื่องของการบริหารจัดการวัคซีนมากกว่าการตรวจหาผู้ป่วย ? และมีการเรียกร้อง
อนุญาตให้ภาคเอกชนนำเข้าวัคซีนทางเลือกเพื่อจำหน่ายให้กับประชาชน แม้ว่าในหลักการจะดูไม่มีอะไรติดขัดทางรัฐบาลก็อยากให้เอกชนเข้ามาช่วยแบ่งเบา
ความแออัดของประชาชน แต่ก็มีหลายอย่างที่ยังทำให้การเจรจาระหว่างภาคเอกชนและผู้ผลิตวัคซีนยังไม่สามารถเป็นไปได้
โดยเฉพาะข้อกำหนดในมาตรการที่ผู้ผลิตยึดเป็นหลักปฏิบัติคือจะจำหน่ายให้กับรัฐบาลเท่านั้น เนื่องจากวัคซีนเป็นประเภทฉุกเฉินซึ่งอาจมีผลข้างเคียงผู้ผลิตจึงปกป้องการถูกฟ้องโดยมอบให้รัฐบาลแต่ละประเทศเป็นผู้แจกจ่ายเองเท่านั้นโดยให้รัฐบาลประเทศนั้นๆ เป็นผู้รับผิดชอบประชาชนของตัวเอง จึงทำให้ความคิด
ที่จะให้เอกชนเจรจาเพื่อจัดซื้อวัคซีนทางเลือกอาจไม่ง่ายหรือรวดเร็วอย่างที่คิด แต่ก็มีทางออกหนึ่งที่รัฐบาลกำลังจะทำคือการให้เอกชนสั่งซื้อวัคซีนที่ผ่านมาตรฐานของ อย. แล้วกับรัฐบาลเพื่อจัดซื้อจากผู้ผลิตโดยให้องค์การเภสัชกรรมเป็นผู้ทำเรื่องจัดซื้อ และแจกจ่ายให้เอกชนในราคาทุน โดยปัจจุบันวัคซีนที่ อย.อนุมัติแล้วได้แก่ AstraZeneca, Sinovac และ Johnson &Johnson เท่านั้น ส่วนที่กำลังดำเนินการได้แก่ ModernaBharat Biotech ของอินเดีย และ Sputnik V ที่น่าจะเข้ามาเป็นวัคซีนทางเลือกในอนาคต
ประสิทธิภาพในการป้องกันโรคของวัคซีน ในขณะนี้ประเทศไทยได้เลือกใช้วัคซีน AstraZeneca เป็นวัคซีนหลักที่จะฉีดให้กับประชาชน และได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีให้เป็นผู้ผลิตวัคซีนในภูมิภาค โดยปัจจุบันอยู่ในขั้นตอนของการผลิตเพื่อใช้ในประเทศและอาจส่งออกในอนาคตหากในประเทศเพียงพอแล้ว ตัวที่สองที่ไทยมีคือวัคซีน Sinovac ที่มีการจัดซื้อจากจีนในช่วงที่ผ่านมา
นอกจากนั้นก็ยังมีวัคซีนทางเลือกอื่นๆ ที่อยู่ในขั้นตอนการพัฒนาของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และมหาวิทยาลัยมหิดล ที่กำลังพัฒนาวัคซีนตัวใหม่ที่อาจเป็นทางเลือกที่ดีของคนที่ยังไม่มั่นใจในประสิทธิภาพของวัคซีนในระบบที่มีข่าวผลข้างเคียงต่างๆ
ต้องทำความเข้าใจว่าวัคซีนทั่วโลกในขณะนี้ถูกผลิตขึ้นมาเพื่อใช้อย่างเร่งด่วน ฉะนั้นแล้วก็มีโอกาสจะมีผลข้างเคียงได้ แต่เนื่องจากสถานการณ์ทั่วโลกเป็นสถานการณ์ฉุกเฉินเร่งด่วนที่ต้องการวัคซีนเพื่อลดการแพร่กระจายของเชื้อและการเสียชีวิตของประชาชนทั่วโลก ความต้องการของประเทศต่างๆ ทั่วโลกจึงมีมากกว่าความกลัว และอาจถูกมองว่าวัคซีนอาจถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการทูตหรือการเมืองระหว่างประเทศไปแล้วหรือไม่ ?
หากมองภูมิศาสตร์การเมืองระหว่างประเทศในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ทั่วโลก จะเห็นได้ว่าในตอนแรกมีการเร่งวิจัยจากหลายสถาบันทั่วโลก เพื่อผลิตวัคซีน นัยหนึ่งคือเรื่องของการหาทางออกให้กับมนุษยชาติ แต่ก็มีนัยแอบแฝงคือเรื่องของธุรกิจและการสร้างอำนาจต่อรองที่ไม่อาจมองข้ามได้ การเร่งวิจัยและผลิตวัคซีนเพื่อเป็นเจ้าแรกในการผลิตสู่ตลาดแน่นอนว่าจะได้ส่วนแบ่งตลาดมากที่สุด และสามารถควบคุมกลไกราคาได้ ที่ชัดกว่านั้นคือการออกมาวิเคราะห์โจมตีคุณภาพและประสิทธิภาพของวัคซีนของคู่แข่งซึ่งผลิตจากทั้งรัฐบาลหรือเอกชนรายใหญ่ของประเทศนั้นๆ ลามมาถึงการออกมาตรฐานรับรองวัคซีนของประเทศต่างๆ ที่จะเดินทางมาประเทศตนเองว่ายอมรับในวัคซีนใด
แม้ว่าในขณะนี้มีผู้ผลิตที่ได้รับการยอมรับจากประเทศต่างๆ คือ Pfizer-BioNTech, Moderna, SputnikV, AstraZeneca, Sinovac และ Sinopharm ที่มาจากประเทศมหาอำนาจของโลกคือ สหรัฐฯ อังกฤษ จีน และรัสเซีย แต่ประเทศมหาอำนาจเหล่านี้เองบางส่วนกลับไม่ยอมรับวัคซีนของประเทศคู่แข่ง อย่างกรณีสหรัฐอเมริกาและยุโรปมีนโยบายไม่รับรองวัคซีนที่ผลิตจาก Sinovac, Sinopharm และ CanSino Biologics ซึ่งล้วนเป็นวัคซีนที่ผลิตจากจีน ขณะที่วัคซีนของสหรัฐอเมริกาที่รองรับ ได้แก่ Pfizer, Moderna, AstraZeneca, Johnson&Johnson และ Novavax เท่ากับว่านอกจากประชากรในสหรัฐและยุโรปแล้ว ประเทศใดก็ตามที่ต้องการเดินทางมาติดต่อกับสหรัฐก็ต้องฉีดวัคซีนที่สหรัฐรับรองเท่านั้น
ขณะที่ยุโรป อนุญาตให้คนเดินทางเข้ายุโรปได้หากฉีดวัคซีนที่ได้รับการอนุมัติจากหน่วยงานคณะกรรมการอาหารและยาของสหภาพยุโรปซึ่งเป็นวัคซีนที่ผลิตในสหรัฐและยุโรปแต่ไม่มีวัคซีนจากจีนและรัสเซีย ส่วนที่เริ่มเปิดประเทศก็จะอนุมัติการเดินทางให้กับผู้ที่ได้รับการฉีด อย่างน้อย 1 เข็ม จาก Sinovac, Sinopharm และ CanSino Biologics ซึ่งเป็นวัคซีนที่ผลิตในจีน สำหรับผู้ที่ไม่ได้ฉีดวัคซีนตามกำหนดของประเทศต่างๆ เหล่านี้ก็ต้องดำเนินการเข้าประเทศเท่ากับคนที่ไม่ได้ฉีด
ตลอดจนเริ่มมีนโยบายวัคซีนทางการทูต จึงทำให้เห็นปรากฏการณ์การให้วัคซีนกับมิตรประเทศที่เหมือนจะเป็นการให้ทางมนุษยธรรม อย่างกรณีที่สหรัฐฯ ประกาศสนับสนุนวัคซีน Astra แก่มิตรประเทศกว่า60 ล้านโดส แต่สหรัฐเองกลับยกเลิกการให้วัคซีน Astra แก่ประชาชนชาวสหรัฐ หรือการให้วัคซีน SputnikV ของรัสเซียแก่อินเดียที่ดูเป็นการสนับสนุนการรักษาพยาบาล
การสนับสนุนช่วยเหลือจากมหาอำนาจเหล่านี้อาจเป็นการแลกเปลี่ยนซึ่งผลประโยชน์ หรือการคานอำนาจทางการเมืองระหว่างประเทศ หรืออาจถูกมองได้หรือไม่ว่า การให้วัคซีนแก่ประเทศกำลังพัฒนาหรือด้อยพัฒนาเป็นประเทศแรกๆ แทนที่จะดำเนินการขายก่อน เป็นการทดลองวัคซีนหรือไม่ก็ไม่ทราบได้ ?แต่ที่แน่ๆ ตลาดการค้าวัคซีนจะเฟื่องฟูไปอีกหลายปีและประชากรส่วนใหญ่ของโลกต้องฉีด ประเทศผู้กุมตลาดจึงมีทั้งรายได้ในยามเศรษฐกิจโลกตกต่ำและมีอำนาจทางการเมืองในการอนุมัติขายในตลาดที่ทุกประเทศแย่งกันซื้อตอนนี้ไม่เว้นแม้แต่ประเทศไทย
“เรื่องที่สวยงามมักเป็นเช่นฟองสบู่เสมอมา
ปรากฏวูบก็หายวับ หากคิดจะฝืนกำลังไปเหนี่ยวรั้งไว้
ที่แลกได้มา มักเป็นความเจ็บซ้ำและเคราะห์กรรมเสมอ”
โกวเล้ง มังกรเมรัย
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี