คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อวันที่ 5 พ.ค. 2564 กรณี ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า สส.พะเยา พรรคพลังประชารัฐ และรมช.เกษตรและสหกรณ์ผู้ถูกร้อง
1. ศาลรัฐธรรมนูญ มีคำสั่งเรียกสำเนาคำพิพากษาศาลแขวงรัฐนิวเซาท์เวลส์ออสเตรเลีย และสำเนาคำพิพากษาศาลอุทธรณ์รัฐนิวเซาท์เวลส์ ออสเตรเลีย รวมถึงเอกสารหลักฐานอื่นที่เกี่ยวข้องจากผู้ร้อง ผู้ถูกร้อง และปลัดกระทรวงการต่างประเทศแล้ว
ปรากฏว่า ผู้ร้อง ผู้ถูกร้อง และปลัดกระทรวงการต่างประเทศ ไม่สามารถส่งสำเนาเอกสารคำพิพากษาดังกล่าว และเอกสารหลักฐานอื่นที่ทางราชการรับรองสำเนาถูกต้องมาให้ศาลรัฐธรรมนูญได้
แต่ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ผู้ถูกร้อง เป็น สส.พะเยา เขต 1 พรรคพลังประชารัฐ และเป็น รมช.เกษตรและสหกรณ์ โดยก่อนสมัครรับเลือกตั้งผู้ถูกร้องรับว่า ตนเคยต้องคำพิพากษาว่า กระทำความผิดตามคำพิพากษาของศาลรัฐนิวเซาท์เวลส์ ออสเตรเลีย
2. ศาลรัฐธรรมนญชี้ว่า
ประเด็นที่หนึ่ง สมาชิกภาพ สส. ของผู้ถูกร้องสิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 101 (6) ประกอบมาตรา 98 (10) หรือไม่ นับแต่เมื่อใด
มีข้อที่ต้องพิจารณาก่อนว่า คำว่าเคยต้องคำพิพากษาอันถึงที่สุด ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 98 (10) อันเป็นลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้ง
สส. หมายความถึงคำพิพากษาของศาลไทยเท่านั้นหรือไม่
เห็นว่า รัฐธรรมนูญ มาตรา 3 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ใช้อำนาจนั้นผ่านทาง
รัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ วรรคสอง บัญญัติว่า รัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล องค์กรอิสระ และหน่วยงานของรัฐ ต้องปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ กฎหมาย และหลักนิติธรรม เพื่อประโยชน์ส่วนรวมของประเทศชาติ และความผาสุกของประชาชนโดยรวม
จากบทบัญญัติดังกล่าว หมายถึง อำนาจอธิปไตยอันเป็นกฎหมายสูงสุดในการปกครองประเทศ ลักษณะสำคัญของอำนาจอธิปไตยคือ มีความเด็ดขาดสมบูรณ์ไม่อยู่ในอาณัติ หรืออำนาจของรัฐอื่น แยกตามลักษณะหน้าที่เป็น 3 ส่วนได้แก่ 1.อำนาจนิติบัญญัติ 2.อำนาจบริหาร 3.อำนาจตุลาการ
การพิพากษาของศาล เป็นอำนาจตุลาการ เป็นส่วนหนึ่งของอำนาจอธิปไตย ย่อมต้องไม่ตกอยู่ในอาณัติหรือภายใต้ตุลาการของรัฐอื่น หลักการปกครองของประเทศที่มีอำนาจอธิปไตยโดยสมบูรณ์ มีหลักการสำคัญคือ การไม่แทรกแซงกิจการภายในของประเทศอื่น และไม่ถูกประเทศอื่นแทรกแซงกิจการภายในของตน โดยไม่มีการทำข้อตกลงยินยอม ดังนั้น การบังคับตามคำพิพากษาของศาลต่างประเทศก็ดี การตีความคำพิพากษาศาลต่างประเทศที่มีสถานะทางกฎหมายกับศาลไทย จึงไม่สอดคล้องกับหลักการดังกล่าว
ตามหลักอธิปไตยของรัฐ และตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ คำพิพากษาของรัฐใด มีผลในดินแดนของรัฐนั้น บางกรณีรัฐใดรัฐหนึ่ง อาจให้การรับรองคำพิพากษาของศาลอีกรัฐหนึ่ง และอาจบังคับให้เป็นไปตามคำพิพากษานั้นได้ แต่ต้องมีการทำสนธิสัญญารับรอง และบังคับตามคำพิพากษาตามหลักการต่างตอบแทน ส่วนใหญ่เป็นกรณีทางคดีแพ่ง คดีครอบครัว และคดีมรดก
สำหรับคดีอาญา อาจได้รับการยอมรับพิจารณาบ้างในกรณีส่งผู้ร้ายข้ามแดน หรือการโอนนักโทษ โดยมีเงื่อนไขสำคัญตามหลักการต่างตอบแทนในสนธิสัญญาว่า รัฐภาคีต้องผูกพัน และเคารพผลของคำพิพากษาของอีกรัฐภาคีหนึ่งด้วย ดังนั้น ทั้งหลักการ และหลักปฏิบัติของรัฐ เกี่ยวกับการใช้อำนาจทางตุลาการ ได้รับการบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญแต่ละประเทศ ยืนยันหลักความเป็นอิสระของตุลาการ และความศักดิ์สิทธิ์ของคำพิพากษา
เมื่อบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ มีการกล่าวถึงคำพิพากษา จึงต้องหมายถึงคำพิพากษาของศาลแห่งรัฐ หรือประเทศนั้นเท่านั้น ไม่รวมถึงคำพิพากษาของศาลต่างประเทศ
การตรากฎหมายอาญาแต่ละประเทศ กำหนดการกระทำความผิด ฐานความผิด เงื่อนไขการลงโทษไว้แตกต่างกัน โดยการกระทำอย่างเดียวกัน กฎหมายบางประเทศอาจกำหนดให้ผิด แต่กฎหมายไทยอาจไม่ได้กำหนดให้เป็นความผิดก็ได้ อีกทั้งหากตีความว่า เคยต้องคำพิพากษาอันถึงที่สุด หมายรวมถึงคำพิพากษาต่างประเทศด้วย ทำให้ไม่อาจกลั่นกรอง หรือตรวจสอบความชอบด้วยหลักนิติธรรมของกระบวนการพิจารณาของศาลต่างประเทศดังกล่าว ขัดกับหลักการต่างตอบแทน กล่าวคือ ศาลต่างประเทศ ไม่ต้องบังคับ หรือยอมรับคำพิพากษาของศาลไทย ทำให้อำนาจอธิปไตยของศาลไทยถูกกระทบกระเทือนอย่างมีนัยสำคัญ
แม้ในข้อเท็จจริงในคดีรับฟังได้ว่า ผู้ถูกร้อง เคยต้องคำพิพากษาของศาลแขวงรัฐนิวเซาท์เวลส์ ออสเตรเลีย ก่อนสมัครรับเลือกตั้ง สส. ไม่ใช่คำพิพากษา
ของศาลไทย ผู้ถูกร้องจึงไม่มีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 101 (6)ประกอบมาตรา 98 (10)
ประเด็นที่สอง ความเป็นรัฐมนตรีของผู้ถูกร้อง สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (6) และมาตรา 98 (10) หรือไม่ นับแต่เมื่อใด
เมื่อศาลได้วินิจฉัยประเด็นที่หนึ่งไปแล้วว่า ผู้ถูกร้องไม่มีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 98 (10) จึงไม่มีเหตุทำให้ความเป็นรัฐมนตรีของผู้ถูกร้องสิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (6) และมาตรา 98 (10)
สรุป วินิจฉัยว่า สมาชิกภาพ สส. ของผู้ถูกร้อง ไม่สิ้นสุดลงเฉพาะตัว ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 101 (6) ประกอบมาตรา 98 (10) และความเป็นรัฐมนตรีของผู้ถูกร้องไม่สิ้นสุดลงเฉพาะตัว ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (6) และมาตรา 98 (10)
3. แม้คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญจะถือเป็นที่สุด มีผลผูกพันทุกองค์กร
ถ้าย้อนกลับไปเปรียบเทียบกับความเห็นของกฤษฎีกาที่เคยมีก่อนหน้านี้
กรณีบุคคลที่เคยต้องคำพิพากษาหรือคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายให้จำคุกในต่างประเทศ สามารถสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในอาณาจักรไทยได้หรือไม่นั้น เคยมีการตีความข้อกฎหมายจาก คณะกรรมการกฤษฎีกา เมื่อปี 2525 ตามข้อหารือทางกระทรวงมหาดไทย
คณะกรรมการกฤษฎีกา มีความเห็นว่า ในการรับสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ถ้าข้อเท็จจริงปรากฏว่าบุคคลใดที่เคยต้องคำพิพากษาหรือคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายให้จำคุกไม่ว่าในประเทศหรือในต่างประเทศตั้งแต่สองปีขึ้นไป โดยได้พ้นโทษมายังไม่ถึงห้าปีในวันเลือกตั้ง ซึ่งมิใช่ความผิดอันได้กระทำโดยประมาทแล้ว ก็ย่อมถือได้ว่าบุคคลนั้นเป็นบุคคลที่มีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 96 (5) ของรัฐธรรมนูญ (ขณะนั้น)
“...สำหรับปัญหาที่กระทรวงมหาดไทยหารือมานี้ เมื่อได้พิจารณามาตรา 96 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยที่บัญญัติว่า บุคคลที่เคยต้องคำพิพากษาหรือคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายให้จำคุกตั้งแต่สองปีขึ้นไป โดยได้พ้นโทษมายัง ไม่ถึงห้าปีในวันเลือกตั้ง เว้นแต่ในความผิดอันได้กระทำโดยประมาท เป็นบุคคลต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้ง แล้วเห็นว่า บทบัญญัติดังกล่าวมิได้ระบุว่า “คำพิพากษาหรือคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายให้จำคุก” เป็นคำพิพากษาหรือคำสั่งให้จำคุกของศาลในประเทศใด และบุคคลดังกล่าวเป็นบุคคลต้องห้ามมิให้สมัครรับเลือกตั้งผู้แทนราษฎรก็เพราะเห็นว่าเป็นบุคคลที่มีความประพฤติไม่เหมาะสม ถ้าต้องห้ามเฉพาะการกระทำผิดในประเทศ ไม่เกี่ยวกับการกระทำผิดในต่างประเทศ ก็จะเกิดการลักลั่นไม่เป็นธรรม และขัดกับเหตุผลในกรณี เช่น ความผิดอย่างเดียวกัน มีโทษอย่างเดียวกัน ถ้าทำผิดในประเทศ ต้องห้าม ถ้าทำผิดในต่างประเทศไม่ต้องห้าม ฉะนั้น บุคคลใดเคยต้องคำพิพากษาหรือคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายให้จำคุกตั้งแต่สองปีขึ้นไป โดยได้พ้นโทษมายังไม่ถึงห้าปีในวันเลือกตั้ง ไม่ว่าจะเป็นการถูกจำคุกในประเทศไทยหรือในต่างประเทศ ก็ต้องถือว่าเป็นบุคคลต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งตามเจตนารมณ์แห่งมาตรา 96 (5) ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
ดังนั้น ในการรับสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ถ้าข้อเท็จจริงปรากฏว่าบุคคลใดที่เคยต้องคำพิพากษาหรือคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายให้จำคุกไม่ว่าในประเทศหรือในต่างประเทศตั้งแต่สองปีขึ้นไป โดยได้พ้นโทษมายังไม่ถึงห้าปีในวันเลือกตั้ง ซึ่งมิใช่ความผิดอันได้กระทำโดยประมาทแล้ว ก็ย่อมถือได้ว่าบุคคลนั้นเป็นบุคคลที่มีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 96 (5) ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
(นายอมร จันทรสมบูรณ์)
เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา”
4. คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญกรณีนี้ จะถือเป็นบรรทัดฐานที่ใช้ได้กับทุกคนต่อไป
เพราะไม่เคยมีคำวินิจฉัยมาก่อน และใช้ได้กับความผิดทุกกรณี ไม่เฉพาะแต่ความผิดคดียาเสพติดอย่างเดียว
เป็นบรรทัดฐานที่ทำให้ผู้ต้องคำพิพากษาในต่างประเทศ อาจเข้ามาเป็นรัฐมนตรีได้ เว้นเสียแต่ว่าหลังจากนี้จะมีการดำเนินคดีในด้านจริยธรรมให้เป็นบรรทัดฐานต่อไป
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี