น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ โพสต์เฟซบุ๊คเล่าเรื่องการตัดสินใน “ฉีด vs ไม่ฉีด” วัคซีนป้องกันโควิด-19 ว่า...
“...หลังอาหารเย็นวันก่อน ครอบครัวของผมนั่งเม้าท์สัพเพเหระกันตามปกติ คุยไปคุยมาจนถึงเรื่องวัคซีน คุณแม่ผมก็ประกาศกลางวงกับทุกคนว่า หัวเด็ดตีนขาดยังไงแม่ก็ไม่ยอมไปฉีดวัคซีนอย่างแน่นอน
...ผมเลยถามแม่ว่า “เอาความคิดพวกนี้มาจากไหน?”
...แม่เลยถามผมกลับว่า “ลูกไม่เคยดูทีวีหรืออ่านข้อมูลที่เขาส่งกันทางไลน์เลยหรือ? วัคซีนน่ากลัวมาก คนที่ฉีดมีผลข้างเคียง เขาบอกว่าฉีดแล้วตายไปเลยก็มี แม่แก่แล้วไม่อยากเสี่ยงหรอก เกิดเป็นอะไรขึ้นมาจะได้ไม่คุ้มเสีย”
...ผมเชื่อว่าในเมืองไทย คงมีคนที่คิดเหมือนแม่ผมไม่มากก็น้อย ทั้งกลัวผลกระทบจากผลข้างเคียง และไม่มั่นใจในประสิทธิภาพของวัคซีน แต่ถ้าถามคนที่อยู่ในวิชาชีพก็คือคุณหมอทั้งหลาย ก็ให้ความเห็นคล้ายๆกันว่า “วัคซีนที่ดีที่สุดก็คือการมาฉีดให้เร็วที่สุด” แปลเป็นไทยอีกทีก็คือ “ใครถึงคิวฉีดจะได้รับวัคซีนยี่ห้อไหนก็รีบฉีดกันเถอะ”
...ในฐานะที่ผมฉีดแล้ว และก่อนฉีดก็ศึกษามาพอสมควรว่าจะต้องฉีดอะไรเข้าไปในร่างกาย เลยต้องนั่งอธิบายให้คุณแม่และสมาชิกคนอื่นๆ ในครอบครัวฟังอีกกว่าชั่วโมง เพื่อให้เลิก “กลัววัคซีน” และเมื่อถึงคิวฉีดจะได้มั่นใจว่าทุกคนจะไม่หนีและเบี้ยวการฉีดวัคซีน
...ผมได้ยินเสียงวิพากษ์วิจารณ์สรรพคุณและผลข้างเคียง ของวัคซีนโควิด จากสื่อและผู้รู้ทั้งหลาย ซึ่งมีการนำเสนอกันอย่างกว้างขวาง บ้างก็ว่าดี บ้างก็ว่าไม่ได้เรื่อง แต่ส่วนใหญ่จะเสนอมุมที่น่ากลัว ซึ่งก็เป็นเสรีภาพในการนำเสนอของบ้านเรา จนทำให้ผู้รับข้อมูลทั้งหลายรวมถึงแม่ผมด้วยเกิดความลังเล ไม่แน่ใจ ไปจนถึงเกิดความหวาดกลัว และมีหลายคนเริ่มปฏิเสธที่จะไปฉีดวัคซีน (ไม่เชื่อลองถามคนใกล้ๆตัวดูก็ได้)
...ผมเองไม่ใช่แพทย์ แต่ด้วยความรู้อันน้อยนิดเรื่องวัคซีนของผมที่เชื่อว่าไม่น่าผิดก็คือ เราไปฉีดวัคซีนต่างๆเพื่อให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันต่อโรคนั้นๆ เมื่อฉีดไปแล้วไม่ได้แปลว่าเราจะปลอดโรค 100% แต่แปลว่าหากเราติดเชื้อโรคนั้นๆ ร่างกายของเราจะมีภูมิคุ้มกันที่ดีมีกองทัพที่แข็งแกร่งออกไปจัดการกับผู้บุกรุกได้อย่างราบคาบในเวลาอันรวดเร็ว
...หรือแปลเป็นไทยว่า ผู้ที่รับวัคซีนครบถ้วนทั้งจำนวนและเวลา ส่วนใหญ่หากติดเชื้อในภายหลัง แทบจะไม่มีอาการ หรือมีอาการเพียงเล็กน้อยหายได้เองโดยไม่ต้องไปหาหมอนั่นแหละ เหลือเพียงแค่ส่วนน้อยเท่านั้นที่ยังต้องไปโรงพยาบาล
...ส่วนผลข้างเคียงของการฉีดวัคซีน ใครที่มีอาการก็เหมือนกับถูกหวยครับ เพราะต้องมีเงื่อนไขและปัจจัยที่พอดีจริงๆ ซึ่งก่อนฉีดเราต้องตอบคำถามที่เชื่อว่าผู้รับวัคซีนอาจเกิดผลข้างเคียงได้ทุกข้อ ถ้าคำตอบของเราไม่มีอะไรให้กังวล ก็ลุยเลยครับ
...ส่วน “ภูมิคุ้มกันหมู่” จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อเราไปฉีดกันแล้วเกือบทั้งประเทศ ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลาอีกนาน
...แต่ตอนนี้ใครถึงคิวฉีด รีบไปฉีดเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้กับตัวเองก่อน น่าจะดีกว่านะครับ #เชียร์ให้ฉีด
#เพื่อตัวเองและคนที่เรารัก #โควิด-19”
นี่คือ “นักการเมืองสร้างสรรค์” แยกได้ระหว่าง “การเมืองกับโควิด-19” และ การเมืองกับวัคซีน ไม่เอามาปนกันมั่ว ให้ข้อมูลเลอะเทอะเละเทะ เหมือนนักการเมืองอีกหลายคน ที่ก็ฉีดวัคซีนไปแล้ว แต่ไม่เคยบอกกล่าวกับประชาชนว่า “ไม่เห็นผม/ดิฉัน ตายโหงตายห่าไปเลยนี่ครับ/ค่ะ” (ฮา...)
รศ.นพ.นภชาญ เอื้อประเสริฐ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ ก็โพสต์เฟซบุ๊คของท่านว่า
“...เมื่อวานพูด COVID-19 vaccine and thrombosis ซึ่งจัดโดยองค์กรแพทย์รพ.จุฬาลงกรณ์ ผมเตรียมเนื้อหา 40 นาที สำหรับพูดให้บุคลากรทางการแพทย์
ของรพ.จุฬาลงกรณ์ ฟัง ซึ่งค่อนข้างจะลึกที่สุดตั้งแต่พูดมาพึ่งรู้ตัวก่อนพูดไม่กี่นาทีว่าเปิดให้ประชาชนฟัง สไลด์แก้ไม่ทันละ ปรับการพูดก็แทบไม่ทัน ดังนั้นผมขอสรุปสิ่งที่จะสื่อสารให้ประชาชนทั่วไปดังนี้ครับ
1. วัคซีนทุกประเภทไม่ว่า Adenovirus vectorvaccine ของ AstraZeneca หรือ Johnson and Johnson หรือ mRNA ของ Pfizer หรือ Moderna หรือ inactivated vaccine ของ Sinovac ไม่เพิ่มโอกาสเกิดหลอดเลือดอุดตันทั่วไปทั้ง หลอดเลือดสมองอุดตัน หลอดเลือดหัวใจอุดตัน หรือหลอดเลือดดำที่ขาอุดตัน และลิ่มเลือดอุดตันหลอดเลือดปอด ดังนั้นคนที่มีโรคประจำตัวเคยเป็น อัมพฤกษ์ อัมพาต กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด หรือหลอดเลือดดำอุดตันมาก่อนสามารถฉีดวัคซีนได้หมด
2. ภาวะเกล็ดเลือดต่ำร่วมกับหลอดเลือดอุดตัน โดยเฉพาะที่สมอง ที่เรียกว่า vaccine-induced immune thrombotic thrombocytopenia (VITT) ที่มีรายงานหลังฉีดวัคซีนของ AstraZeneca หรือ Johnson and Johnson นั้น โอกาสเกิดต่ำกว่า อยู่ระหว่าง 1 ต่อ 100,000 ถึง 1 ต่อ 500,000 ภาวะนี้สามารถให้การวินิจฉัยและรักษาได้ด้วยยาที่มีอยู่ในประเทศไทย ดังนั้นถึงมีโอกาสเกิด แต่เราสามารถให้การดูแลรักษาได้
3. ขอให้กลัวภาวะหลอดเลือดอุดตันหลังเป็นโควิด-19 ให้มากกว่า เพราะติดโควิด-19 มีโอกาสเกิดหลอดเลือดอุดตันสูงถึง 1 ใน 7 และมักเป็นหลอดเลือดอุดตันที่รุนแรง ที่รพ.จุฬาฯ มีคนไข้ที่มีหลอดเลือดอุดตันหลังติดโควิด-19 ที่ต้องถูกตัดขาเมื่อสัปดาห์ที่แล้วไป1 คน ทั้งๆ ที่เราพยายามแก้ไขทุกทางแล้วก็หลีกเลี่ยงการตัดขาไม่ได้
4. วัคซีนทุกชนิดมีผลข้างเคียงที่แตกต่างกันไป แม้แต่ mRNA วัคซีนของ Pfizer หรือ Moderna ก็มีผลข้างเคียงบางอย่างที่พบบ่อยกว่าวัคซีนอื่นๆ เช่น การเกิดการแพ้รุนแรงที่ทำให้ความดันเลือดตก หรือหลอดลมอุดกั้นเฉียบพลันที่เรียกว่า anaphylaxis มีโอกาสเกิด 1 ต่อ 100,000 ถึง 1 ต่อ 400,000 หรือมีรายงานว่าเกิดเกล็ดเลือดต่ำรุนแรงและมีเลือดออกได้เช่นกันโดยมีโอกาสเกิด 1 ต่อ 1,000,000 ถึง 1 ต่อ 2,000,000 แต่ผลข้างเคียงของวัคซีนแต่ละชนิดมีโอกาสเกิดน้อยกว่า 1 ใน 100,000 ดังนั้น แม้จะมีความเสี่ยง ก็เป็นความเสี่ยงที่น้อยกว่าการติดโควิด
5. สำหรับ Sinovac ที่คนกลัวว่าฉีดแล้วจะเป็นอัมพฤกษ์ หรืออัมพาต ทางสาขาวิชาประสาทวิทยาของ รพ.จุฬาลงกรณ์ ได้ทำการตรวจวินิจฉัยอย่างละเอียดที่สุดทั้งทำ MRI, MRA และ SPECT imaging ไม่พบว่ามีคนที่เกิดหลอดเลือดสมองอุดตันเลย พบจำนวนน้อยที่อาจมีหลอดเลือดสมองส่วนปลายหดตัว และแก้ไขด้วยการให้ยาขยายหลอดเลือด และภาวะชาหรืออ่อนแรงกลับมาเป็นปกติหมด แต่โอกาสเกิดปฏิกิริยาหลังฉีดวัคซีนของ Sinovac จนมีปลายหลอดเลือดสมองหดตัวก็เกิดต่ำมากเพียง 3 ใน 10,000 คน
6. อาจมีข่าวว่า มีคนฉีดวัคซีนแล้วเสียชีวิตออกมา (เท่าที่จำได้คือ 3-4 คน) หลังจากมีการฉีดวัคซีนไปแล้วในประเทศไทยมากกว่า 2,000,000 โดส แต่ปัจจุบันยังไม่พบหลักฐานว่าเกิดจากการฉีดวัคซีนโดยตรง
ในสหรัฐอเมริกา ตัวเลขของ CDC หรือ US FDA พบคนอเมริกาเสียชีวิตหลังฉีด mRNA vaccine ของ Pfizer หรือ Moderna 3,400 คน จาก 221 ล้านโดส หรือประมาณ 1 ต่อ 60,000 แต่ภายหลังการทบทวนประวัติทางการแพทย์แล้ว ก็พบว่าน่าจะเกิดจากโรคประจำตัวของคนที่เสียชีวิตมากกว่าเกิดจากการฉีด mRNA vaccine
7. อัตราตายจากโควิดทั่วโลกคือ 1 ต่อ 50 ในประเทศไทยเมื่อ 3 สัปดาห์ที่แล้วยังอยู่ที่ 1 ต่อ 400 อยู่เลย แต่ตอนนี้อยู่ที่ 1 ต่อ 180 แล้ว และหากยังมีผู้ติดเชื้อมากขึ้นอย่างนี้ทุกวัน อัตราการเสียชีวิตก็จะสูงขึ้นอีก ถ้าเอาค่าเฉลี่ยเฉพาะสัปดาห์นี้อยู่ที่ประมาณ 1 ใน 100 คนแล้ว
สุดท้าย ข้อห้ามอย่างเดียวของการฉีดวัคซีนเข็มที่ 1 คือ ไม่สมัครใจฉีด
โรคประจำตัว มะเร็ง อัมพฤกษ์ อัมพาต โรคหัวใจโรคปอด โรคตับ โรคไต โรคภูมิคุ้มกันตัวเอง โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง ฉีดได้หมด
มีคนไข้ผมคนหนึ่งที่เป็น SLE with antiphospholipid syndrom with stroke รักษากันมา 10 ปีแล้ว กินทั้ง steroid, cellcept, warfarin และ aspirin มาถามว่าควรฉีดวัคซีนมั้ย ผมตอบทันทีว่าฉีดเลยทันทีที่ฉีดได้ โรคประตัวที่ว่ามาถ้า ติดโควิดโอกาสเสียชีวิตและหลอดเลือดอุดตันซ้ำสูงมาก ตอนนี้ผมคุมตัวโรคให้สงบได้ด้วยยา แต่เกิดติดโควิดมา ผมอาจคุมตัวโรคและป้องกันหลอดเลือดอุดตันให้ไม่ไหว
ดังนั้น ถ้าใครมีคนไข้เป็นโรคที่เบากว่าตัวอย่างโรคที่ผมกล่าวถึงข้างบน หรือมีโรคประจำตัวน้อยกว่าคนไข้ข้างบน แปลว่าฉีดวัคซีนได้หมดครับ
สุดท้ายหากใครสงสัย ผมฉีด Sinovac ครบ 2 เข็มแล้ว ภรรยาฉีด AstraZeneca แล้ว คุณแม่ผมกับแม่ภรรยา ลงทะเบียนฉีดวัคซีนแล้วตั้งแต่วันแรก ใครจะรอวัคซีนทางเลือกก็เป็นสิทธิของท่าน Pfizer หรือ Moderna อีก 3-4 เดือนจะเข้ามาให้ได้ฉีดจริงๆ รึเปล่ายังไม่รู้เลย...”
ด้าน รศ.นพ.นริศ กิจณรงค์ รองคณบดีฝ่ายสื่อสารองค์กรและกิจกรรมเพื่อสังคม คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล เปิดเผยผลการฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสโควิด-19 ในบุคลากร รพ.ศิริราช โดยระบุว่า
“...คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาลได้ฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสโควิด-19 ให้กับบุคลากรไปแล้วจำนวน 13,596 ราย คิดเป็นร้อยละ 80.8 ของบุคลากรทั้งหมด โดยได้รับวัคซีน Sinovac จำนวน 12,797 ราย เนื่องจากมีอายุน้อยกว่า 59 ปี 10 เดือน และได้รับวัคซีน Astra-Zeneca จำนวน 799 ราย เนื่องจากมีอายุมากกว่า 59 ปี 10 เดือน หรือเป็นอาสาสมัครในโครงการวิจัย
บุคลากรที่ได้รับวัคซีนเป็นผู้ได้รับวัคซีนเข็มแรก จำนวน 10,741 ราย และเป็นผู้ที่ได้รับวัคซีนเข็มที่ 2 จำนวน 2,855 ราย โดยร้อยละ 76.9 ไม่พบอาการข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ใดๆ มีรายงาน ภาวะข้างเคียงไม่พึงประสงค์ภายใน 30 นาที ร้อยละ 2.7 ประกอบด้วย อาการบวมแดงบริเวณที่ฉีด (1.38% ) อาการชาตามร่างกาย (0.36%) อาการปวดศีรษะ (0.31%) ปวดกล้ามเนื้อ (0.16%) ผื่นตามร่างกาย (0.14%) และอื่นๆ (0.35%) โดยอาการเหล่านี้เป็นอาการชั่วคราว และสามารถหายเป็นปกติได้ในที่สุด
สำหรับ ภาวะข้างเคียงไม่พึงประสงค์ที่พบ 30 นาที หลังได้รับวัคซีน พบได้ร้อยละ 23.1 ได้แก่ อาการปวดกล้ามเนื้อ (4.84 %) คลื่นไส้ (4.16%) ปวดบวมแดงบริเวณที่ฉีด (3.97%) ปวดศีรษะ (3.36%) อ่อนเพลีย (2.83%) มีไข้ (1.57%) และอื่นๆ (2.37%)
ส่วนอาการชาตามร่างกายหรือมีอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรงร่วมด้วย พบร้อยละ 0.46 เมื่อตรวจร่างกายทางระบบประสาทโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ รวมทั้งได้รับการตรวจด้วยเครื่องมือพิเศษในรายที่มีอาการมาก ก็ไม่พบความผิดปกติใดๆ โดยส่วนใหญ่ (72.6 %) สามารถหายได้เองภายในเวลา 30 นาที หลังมีอาการ อย่างไรก็ตาม ผู้ที่มีภาวะข้างเคียงไม่พึงประสงค์ทุกรายสามารถกลับไปปฏิบัติงานได้ตามปกติ
คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล จึงขอสรุปรายงานผลการฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสโควิด-19 ในบุคลากรของคณะฯ จำนวน 13,596 ราย เป็นผู้ที่ได้รับวัคซีน Sinovac จำนวน 12,797 ราย ได้รับวัคซีน AstraZeneca จำนวน 799 ราย โดยส่วนใหญ่ไม่พบอาการข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ใดๆ สำหรับผู้ที่มีภาวะข้างเคียงไม่พึงประสงค์สามารถหายได้และสามารถกลับไปปฏิบัติงานได้ตามปกติ...”
นี่คือคำยืนยันจาก “หมอ” ว่า “วัคซีน” คือเครื่องมือสำคัญในยามนี้และไม่ต้องวิตกกังวลเรื่องผลข้างเคียง เพราะมีโอกาสเกิดน้อย
นี่คือภาวะที่เราต้องช่วยกัน ส่งต่อข้อมูลที่มีแหล่งข้อมูลเป็นตัวเป็นตน ยืนยันและรับผิดชอบข้อมูลนั้นอย่างชัดเจน
ฟังเสียง“คน” และเสียง “หมอ”
ไม่ฟังเสียง “หมา” !!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี