30 ปีแรกของการปกครองจีนโดยพรรคคอมมิวนิสต์นั้นเต็มไปด้วยความปั่นป่วน และล้มเหลว ในขณะที่ 40 ปีให้หลัง พรรคคอมมิวนิสต์จีนกลับประสบความสำเร็จในการพัฒนาประเทศ และเสริมสร้างสถานะของจีนในเวทีระหว่างประเทศให้แข็งแกร่งชนิดที่ไม่มีผู้ใดคาดหมาย นอกจากนั้นแล้ว จีนยังคงก้าวต่อไปเรื่อย โดยมุ่งมั่นที่จะขึ้นมาเป็นที่หนึ่งของโลกทั้งทางด้านเศรษฐกิจ การลงทุน และการให้ความช่วยเหลือด้านการพัฒนากับประเทศต่างๆ ทั่วโลก และในที่ทางหนึ่ง จีนก็พยายามเร่งเสริมสร้างแสนยานุภาพทางการทหาร และกิจการอวกาศ เพื่อตามสหรัฐอเมริกาให้ทัน และวางแผนที่จะแซงหน้าให้ได้ภายในกลางศตวรรษที่ 21 นี้
ในการนี้ ทางพรรคคอมมิวนิสต์จีนได้โฆษณาประชาสัมพันธ์ว่า ความสำเร็จต่างๆ ดังกล่าวของจีนนั้น เกิดขึ้นได้เพราะจีนดำเนินการพัฒนาประเทศด้วยระบบพรรคเดียวเผด็จการอำนาจ ควบคู่กับระบบทุนนิยมโดยรัฐ (State Capitalism) ซึ่งอำนวยให้บ้านเมืองมีเสถียรภาพ ส่งผลให้มีการเข้ามาลงทุน และถ่ายทอดเทคโนโลยีต่างๆ จากต่างประเทศ จนจีนได้กลายเป็นโรงงานผลิตของโลก และเป็นประเทศส่งออกสินค้าที่ใหญ่ที่สุดของโลก
ระหว่างนั้น จีนก็เลือกที่จะใช้เงิน และความมั่งคั่งที่ได้มาในการออกไปลงทุน ออกไปจัดหาทรัพยากรทางธรรมชาติในต่างประเทศ ทุกทวีป และยังแปลงสภาพตัวเองเป็นประเทศผู้ให้ความช่วยเหลือ (Donor Country) ที่ยิ่งใหญ่ ทดแทนฝ่ายตะวันตกและญี่ปุ่น ซึ่งจีนกำลังผลักดันนโยบายและมาตรการ ว่าด้วยเส้นทางสายไหมร่วมสมัย เพื่อเชื่อมโยงโลกเอเชียกับยุโรป และแอฟริกา
อย่างไรก็ดี จีนยังประกาศอีกว่า การที่ระบบพรรคเดียวผูกขาดอำนาจ และนำพาประสบความสำเร็จในการพัฒนาประเทศจีนได้นั้น ก็เพราะพรรคคอมมิวนิสต์จีนได้ยึดหลักคุณธรรม หลักขีดความสามารถ หรือหลักการส่งเสริมความเจริญก้าวหน้าของบุคลากรด้วยองค์ความรู้ ทักษะ และประสบการณ์ ด้วยการแข่งขัน ผสมผสานกับระบบการคัดเลือกที่มีกฎเกณฑ์กลางที่โปร่งใส ยุติธรรม โดยไม่มีเรื่องระบบเส้นสาย อุปถัมภ์ และการใช้อภิสิทธิ์
และเพื่อให้เกิดความรักชาติ และความรู้สึกของการเป็นชาตินิยม และเผ่าพันธุ์นิยม พรรคคอมมิวนิสต์จีนยังได้ป่าวประกาศต่อไปอีกว่า ระบบการใช้ขีดความสามารถเป็นที่ตั้งนั้น ก็เป็นเรื่องต่อเนื่องมาจากปรัชญาการเมืองการปกครองของนักปราชญ์นามว่า ขงจื๊อ ก็เท่ากับว่าเป็นการสร้างความภูมิอกภูมิใจให้กับคนจีน และยังสร้างความชอบธรรมให้กับพรรคคอมมิวนิสต์อีกด้วย
ในขณะเดียวกัน จีนก็ยังแสดงให้โลกเห็นว่า การพัฒนาประเทศนั้นไม่จำเป็นต้องไปกับระบบเสรีนิยมประชาธิปไตย และการคัดกรองบุคลากรที่จะขึ้นมาเป็นผู้นำประเทศในระดับต่างๆ นั้นของจีน มีขั้นตอนและวิธีการที่รัดกุมเข้มข้นกว่า ไม่เหมือนกับระบอบเสรีประชาธิปไตยที่ใครก็ได้จะขึ้นมาดำรงตำแหน่งทางการเมือง เพียงเพราะด้วยคะแนนนิยมและคะแนนเสียงเท่านั้น
ฟังมาทั้งหมดนี้ ก็อดที่จะคล้อยตาม และเคลิบเคลิ้มไปกับความสำเร็จของจีนด้วยระบบเผด็จการพรรคเดียว และระบบคัดกรองผู้บริหารไม่ได้ แต่ถ้ามองลึกไปอีกสักนิดหนึ่ง หรือถอยหลังมาอีกสักก้าวหนึ่ง แล้วมาทบทวนดูว่า ข้อเท็จจริงและความเป็นมาระหว่างระบบปิด กับระบบเปิดนั้นเป็นอย่างไร และระบบใดควรจะเป็นที่ยึดถือและเพียรพยายามกันต่อไป
พรรคคอมมิวนิสต์จีนนั้นมิได้บอกว่า ระบบคัดกรองบนพื้นฐานของขีดความสามารถนั้น มิได้เปิดโอกาสให้มีการแข่งขันกันระหว่างพรรคการเมือง และผู้ที่จะเข้ามาปกครองบริหารบ้านเมืองของจีนได้ จะต้องเป็นสมาชิกของพรรคเท่านั้น (ซึ่งมีอยู่เกือบร้อยล้านคนจากประชากร 1,400 ล้านคน) เท่ากับว่าสนามการแข่งขันของจีนจำกัดเฉพาะที่พรรคคอมมิวนิสต์เท่านั้น อีกทั้งขีดความสามารถภายในพรรคคอมมิวนิสต์จีนก็ถูกตีกรอบไม่ให้คิดต่าง ไม่ให้คิดเป็นอื่น ไม่ให้คิดนอกกรอบ สิทธิเสรีภาพจึงไม่มี ก็เป็นเรื่องการทำงานทำการตามกรอบที่ประสิทธิภาพ ประสิทธิผล ไม่สามารถถูกทดสอบ วิพากษ์วิจารณ์จากประชาชนโดยทั่วๆ ไปได้
ในทางตรงกันข้าม ในระบบเสรีประชาธิปไตยผู้ที่ขึ้นมาเป็นผู้บริหารบ้านเมืองในระดับการเมืองเต็มไปด้วยความหลากหลาย ทั้งคุณวุฒิและวัยวุฒิ แต่ส่วนใหญ่แทบจะไม่ได้มีการผ่านงานและประสบการณ์ทางการเมืองจากระดับล่าง ก่อนขึ้นมาระดับสูง ทั้งภายในระบบการบริหารภายในพรรคการเมือง และภายในโครงสร้างการบริหารงานการเมือง ก็จัดได้ว่าในหน้าที่ตำแหน่งไม่แตกต่างกันกับทางฝ่ายจีน
แม้ว่าฝ่ายเสรีประชาธิปไตยโดยทั่วไปจะมีผู้ที่มีประสบการณ์และความชำนิชำนาญการน้อยกว่า แต่ในระบบเสรีประชาธิปไตยผู้มีตำแหน่งทางการเมืองต่างๆ นั้น ยังมีหน่วยราชการรองรับ และภายในหน่วยราชการต่างๆ ก็มีการคัดเลือก คัดกรอง มีการแข่งขัน บนพื้นฐานของขีดความสามารถ หรือด้วยระบบคุณธรรม จัดได้ว่าเป็นกลุ่มคน “มืออาชีพ” เป็นผู้ชำนาญการ(Technocrat-professional) อีกทั้งบรรยากาศการทำงานก็อยู่บนพื้นฐานหลักกฎหมาย และหลักธรรมาภิบาลที่ต้องมีความโปร่งใส และตรวจสอบ และค้นหาผู้รับผิดชอบได้ ไม่เหมือนกับหลักพรรคเดียวนำพาแบบของจีน ที่สิทธิเสรีภาพหามีไม่ และความหมายของคำว่า ยุติธรรม คือ อำนาจของผู้มีอำนาจ
บัดนี้ จีนมีชนชั้นกลางอยู่ประมาณ 300 ล้านคน ที่มีระดับชีวิตไม่ด้อยกว่าคนในประเทศพัฒนาแล้ว และจำนวนชนชั้นกลางก็จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และมารวมกันอยู่ในตัวเมืองกันมากยิ่งขึ้น ประเด็นคือ ในระยะยาวแล้ว พรรคคอมมิวนิสต์จีนจะสามารถทานความต้องการของชนชั้นกลางที่ต้องการมีสุ้มมีเสียงในการกำหนดอนาคต และในการมีส่วนร่วมในความเป็นไปของประเทศชาติไปอีกได้นานเท่าใด
ผู้นำในหลายๆ ประเทศชื่นชมกับระบบพรรคเดียวของจีน และระบบทุนนิยมแห่งรัฐ แต่ถ้าหากจะกระทำเช่นนั้นก็ต้องเป็นเรื่องของการอบรมบ่มเพาะบุคลากรของพรรคเป็นสำคัญ แต่ถ้าจะอบรมบ่มเพาะเพื่อความเป็นเผด็จการแล้ว ทำไมถึงจะไม่อบรมบ่มเพาะเพื่อความเป็นเสรีประชาธิปไตยเล่า
หากหันไปมองสิงคโปร์ที่เป็นประชาธิปไตย (แม้จะมีความเป็นพรรคเดียวกุมอำนาจ) แต่บุคลากรของเขาทั้งในพรรคและระบบราชการ ต่างก็เป็นบุคลากรที่มีคุณภาพสูงยิ่ง เช่นเดียวกันกับไต้หวัน ที่เป็นประชาธิปไตยเต็มใบ และเป็นระบบทุนนิยมเต็มใบที่ไม่มีการผูกขาด ส่วนอินเดียนั้นก็ยังเป็นประชาธิปไตยเต็มที่ต่างก็สามารถพัฒนาประเทศให้ก้าวหน้าไปได้ในทุกด้าน แม้จะไม่รวดเร็วทันใจเท่ากับของจีนก็ตาม ซึ่งพวกเขามิได้ใช้ระบบบังคับ ซึ่งก็ดูจะเป็นที่พึงพอใจของประชาชนชาวอินเดียอยู่ว่า สิทธิเสรีภาพต้องมาก่อน ส่วนความเหลื่อมล้ำก็ต้องประคอง แก้ไขกันต่อไป
อย่างไรก็ดี หากสังเกตดูประเทศที่สามารถพัฒนาตนเองให้ก้าวหน้าได้ ไม่ว่าจะระบอบประชาธิปไตยหรือไม่ ต่างมีความเหมือนกันในเรื่อง ระบบความสามารถเป็นตัวตั้ง (Meritocracy) จึงทำให้ได้บุคลากรขึ้นมาทำงานที่ความความรู้ความสามารถเพียงพอที่จะช่วยกันนำพาประเทศให้เจริญรุ่งเรือง
หากประเทศในระบอบประชาธิปไตยใด ที่พรรคการเมืองไม่มีอุดมการณ์ นักการเมืองไม่มีฝีมือ แล้วยังเต็มไปด้วยระบบอุปถัมภ์ค้ำชูพรรคพวกตนเอง โดยไม่มีความยุติธรรมในการเลื่อนขั้นตามความสามารถที่เป็นธรรมแล้ว ก็ย่อมส่งผลให้ไม่มีผู้มีความรู้ความสามารถมาทำงานขับเคลื่อนประเทศ
อนาคตของประเทศนั้นๆ คงดูริบหรี่ และยากที่จะสามารถก้าวไปสู่การเป็นประเทศพัฒนาแล้ว
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี