ต้องพูดกันตามตรงว่า คนไทยจมอยู่ใน “ความมืดมน” มองไม่เห็นอนาคต กลัดกลุ้มกับปัจจุบัน และขมขื่นกับอดีต โดยที่ทั้งหมดโยงใยถึงกันอย่างไม่อาจตัดขาด
เถียงกันให้ตายเถอะ ถ้าเถียงกันเพื่อจะ “เอาชนะ”
พวกหนึ่งก็บอกว่า 7 ปีแห่งความฉิบหาย ไร้หวัง เพราะไอ้พวก “เป่านกหวีด” ที่เชื้อเชิญทหารออกมารัฐประหาร แล้วก็ได้ “ประยุทธ์ จันทร์โอชา” มาเป็นนายกฯ จนทุกวันนี้
พวกนี้ก็ย้อนถามกลับไปว่า ถ้าอีสารเลวนั่นกับบริวาร ไม่เอาเสียงข้างมากในสภาไปกระทำระยำตำบอน ออก พ.ร.บ.นิรโทษกรรมตอนย่ำรุ่ง ปิดกั้นการอภิปรายของฝ่ายค้านสารพัดสารพัน เอาความตายของประชาชน ทหาร สื่อมวลชน ฯลฯ ที่เกิดระหว่างการชุมนุมจนถึงสลายการชุมนุมของกลุ่ม นปช. มาบังหน้า เพื่อหาทางนิรโทษกรรมให้แก่คดีทุจริตของทักษิณ ชินวัตร และคดีอาญาของแกนนำ นปช. จนยอมปล่อย “ฆาตกร” ทำลายระบบนิติรัฐ (รัฐที่มีกฎหมาย) และนิติธรรม(ใช้กระบวนการยุติธรรมอย่างเป็นธรรม) เพื่อให้คำตอบแก่ครอบครัวผู้สูญเสีย เช่น “พ่อน้องเฌอ” เช่น นิชา หิรัญบูรณะ ธุวธรรม เช่น พะเยาว์ อัคฮาด ฯลฯ ซึ่งสูญเสียคนที่พวกเขารัก อย่างไม่ไยดี จะมีคนออกมาชุมนุมขับไล่มากมายขนาดนั้นไหม
หากไม่ใช้อำนาจ โยกย้าย นายถวิล เปลี่ยนศรี อย่างไม่ถูกต้อง เพียงเพื่อให้เครือญาติของตนได้เป็นใหญ่ในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จะถูกศาลสั่งให้พ้นจากตำแหน่งไหม
เหลือรัฐมนตรีรักษาการแค่หยิบมือหนึ่ง ที่“ให้ทางออก” อะไรไม่ได้เลย จะให้ฝ่ายอื่นๆ เขาทำยังไง นั่งเฉยๆ อมหัวแม่ตีน เสพรส “ประชาธิปไตยส้นตีน” ไปอย่างนั้นเหรอ
และทำผิดเรื่องจำนำข้าว หนีหัวซุกหัวซุนออกนอกประเทศ ไปหน้าด้านหน้าหนา ใส่ความประเทศชาติกันอยู่เมืองนอกกับพี่ชายที่ก็หนีคุก หนีหมายศาลไปเกือบสิบคดี เรื่องอย่างนี้ประชาชนต้องเพิกเฉย เพียงเพราะเขา “มาจากการเลือกตั้ง” อย่างนั้นใช่ไหม
ประชาธิปไตย คือ การออกมาด่าทอพระมหากษัตริย์ ล้อเลียน เยาะหยัน ใส่ความได้สารพัดอย่างนั้นใช่ไหม
ในสภาพที่ “หาดีในตัว หาชั่วในคนอื่น แล้วมุ่งตัดตอนความจริง เลือกเอาชนะมุมที่ฝ่ายตรงข้ามผิดฝ่ายตนถูกมาเพื่อด้อยค่าซึ่งกันและกัน มันควรจะมีสติ และเกิดคำถามร่วมกันว่านั่น คือ ทางแก้ปัญหาบ้านเมืองใช่ไหม?
เกลียดกัน โกรธกัน เสียจนระรานความมีเหตุมีผล ความจริงของเรื่องต่างๆ กันจนตรรกะพินาศ รวมถึงเรื่อง “คุณภาพของวัคซีน” ที่ต้องพูดกันด้วย “วิทยาศาสตร์การแพทย์” ก็เสือกมีใครต่อใครก็ไม่รู้ มาอวดเก่งอวดรู้ แสดงความคิดเห็นเรื่องวัคซีนอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
ระหว่างเหนื่อยหน่ายกับความขัดแย้งของผู้คนที่ดูจะพาประเทศไปสู่ความอับจนยิ่งขึ้นอยู่นั้น ก็ไปสะดุดกับโรดแมปที่ อาจารย์ศศิน เฉลิมลาภ อดีตประธานมูลนิธิสืบ นาคะเสถียร เสนอในเฟซบุ๊คเข้า
อาจารย์ศศินกล่าวถึง “ความคาดหวังของผมที่เชื่อว่าเป็นไปได้ ปฏิบัติได้ทันที” ซึ่งประกอบไปด้วย
1. วางโรดแมปตามศักยภาพของการฉีดวัคซีน มิ.ย-ส.ค. โดส 1 แล้วค่อยๆ ไล่โดส 2 ไปจาก ก.ค.-ธ.ค. ตามที่ประกาศ แต่สร้างความเชื่อมั่น โดยให้มีผู้บริหารมือดีมาสนับสนุนการทำงานของ ศบค. ในต่างจังหวัด ผมเชื่อว่า ผู้ว่าณรงค์ศักดิ์ (ผู้ว่าลำปาง) ทำได้ ส่วนในกรุงเทพฯ ผมว่า กทม. น่าจะพอทำได้ อันนี้จัดทีมบริหาร หาตัวช่วย
2.รพ.สนามอิมแพ็ค เป็นเครื่องมือสำคัญ ที่ปัจจุบันน่าจะระดมบุคลากรจากทั่วประเทศมาช่วยกันได้ดีระดับหนึ่งแล้ว และยังขยายได้อีกมาก นี่น่าจะเป็นกำแพงให้พิงหลังได้ระดับหนึ่ง ให้รายงานผลการรักษา และจำนวนเตียงว่างตลอดเวลา
3.ปัญหาใหญ่ คือ การสกัดคลัสเตอร์ และเวฟ 4 จากชายแดนและแรงงานผิดกฎหมาย ผมว่าถ้ามหาดไทยแข็งๆ จะแก้ได้ ปัจจุบันไม่เห็นบทบาทของทั้ง รมต.และปลัดกระทรวง ปัญหาที่เพชรบุรี สะท้อนการทำงานเรื่องนี้ชัดเจน น่าจะต้องปรับคนทำงาน ด่วนที่สุด
4.เลื่อนเปิดเทอมทันที กำหนดไปไว้หลังฉีดวัคซีนโดสแรก คือ 1 กันยายน ขยับทั้งหมดไป ให้ไปจบภาคสองในช่วงซัมเมอร์
5.ให้กรมแพทย์แผนไทย และ รพ.เจ้าพระยาอภัยภูเบศรเป็นหน่วยปฏิบัติการรักษาทางเลือกในพื้นที่ที่มีความต้องการ เพื่อลดยอดของผู้ป่วยสะสมในโรงพยาบาล
6.วางเป้าหมายทางการเมืองเพื่อลดความขัดแย้ง ผมเสนอว่า เจรจาสงบศึก และกำหนดยุบสภาไปเลย เมื่อวัคซีนฉีดครบ หรือเอาแค่โดสแรก และรักษาการต่อเพื่อฉีดให้ครบ เลือกตั้งปลายปี ได้รัฐบาลใหม่ต้นปี ใครจะอยู่ใครจะไปค่อยว่ากันให้ประชาชนตัดสิน
ข้อแรก : ผมเห็นด้วยว่า ยุทธศาสตร์การฉีดวัคซีนของรัฐบาลตอนนี้มีปัญหามากเรื่อง “การสื่อสาร”คนจำนวนมากยังงง ว่าต้องลงทะเบียนที่ไหน กับใคร อย่างไร แล้วจะต้องไปฉีดกับใคร เดี๋ยวจองหมอพร้อม ซึ่งแอปก็พร้อมบ้าง ไม่พร้อมบ้าง ในยุคของผู้นำรัฐบาลที่พล่ามคำว่า “ไทยแลนด์ 4.0” มาตั้งนานแล้ว แล้วเดี๋ยวตรงนั้นก็เปิดให้ฉีด เดี๋ยววอล์กอินตรงนี้สิ เดี๋ยวจังหวัดมีโควตา เดี๋ยวดาราไปฉีด อ้าว! ตกลงวัคซีนมีหรือไม่มี พอหรือไม่พอ มาหรือไม่มา โอ๊ยยยย... อะไรนักหนา (วะ) เคยคิดจะสื่อสารจริงๆ จังๆ ให้เคลียร์ๆ สักครั้ง ผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจ หรือ ศบค. ว่าด้วยการจัดลำดับการรับวัคซีน ให้คนทุกกลุ่มเข้าใจตรงกันในคราวเดียวกันได้ไหม ว่าใคร จะได้ฉีดเมื่อไร ลงทะเบียนที่ไหน อย่างไร วัคซีนมีแน่ มาแน่ มาตอนไหน ยังไง ระหว่างนี้ คนที่รออยู่ ให้ปฏิบัติตัวยังไง เอาให้มันกระจ่าง แล้วจากนั้นก็ทำเป็นคลิป ทำเป็นอินโฟกราฟิก ทำเป็นอะไรก็ได้ ให้คนส่งต่อ แบบ “ฟังหมอ ไม่ฟังหมา” ได้ไหมครับ?
ข้อสอง : เข้าใจว่าในเชิงตั้งรับนั้น เราเก่งแหละ เรามีโรงพยาบาลสนามดีๆ เร็วๆ ได้ แต่คำถามคือ หมอ คน เจ้าหน้าที่ เครื่องมือ ยวดยานพาหนะ และความเข้าใจของคนทั่วไปเขา “พร้อมด้วยไหม” ดูว่า อาจารย์ศศินแกไม่ค่อยห่วง ห่วงแค่เรื่อง “การจัดการ” ที่จะสร้างความเข้าใจและความเชื่อมั่น โดยเฉพาะในต่างจังหวัดที่พร้อมจะเกิดคลัสเตอร์ใหม่ๆ ขึ้นมาเสมอ
ข้อสาม : น่าวิตกเป็นที่สุด กับ “แนวชายแดน” ที่คนดูแลเหนื่อยมากและยากเย็น เพราะคนลอบจะเข้ามา คนที่มีผลประโยชน์ในการนำคนต่างด้าวเข้ามา มันมี “แรงจูงใจ” สูงกว่าคนเฝ้าระวังและดูแล แต่การเข้ามาของสายพันธุ์อังกฤษ จากคลัสเตอร์ทองหล่อ ที่ว่ากันว่ามาจากกัมพูชา (ใคร?) สายพันธุ์อินเดีย จากแรงงานต่างชาติในแคมป์ก่อสร้าง และสายพันธุ์แอฟริกาใต้ ที่ชายแดนไทยมาเลเซีย ล้วนเป็นเรื่อง “โรคติดต่อกัน เพราะคนติดต่อกัน” อย่างขาดความระมัดระวัง คำถามคือเราจะดูแลในส่วนนี้ได้จริงจังกันสักเท่าใด ยิ่งปัญหาความอดอยาก ยากจน ไร้งานทำ และสงครามความขัดแย้งภายในของประเทศเพื่อนบ้าน เป็นตัว “ผลัก” พลเมืองของเขาให้มุ่งหน้า “เสี่ยง” เข้ามาในประเทศไทย คำถามคือ ไทยเราจะระงับและจัดการกับสถานการณ์แบบนี้อย่างไร
ข้อสี่ : เห็นด้วยที่จะเลื่อนการเปิดเรียนออกไปก่อน ให้พ่อแม่พร้อม เด็กพร้อม การฉีดวัคซีนครอบคลุมประชากรในระดับที่ไว้ใจได้ ค่อยกระจายคนไปรวมตัวกัน แบบที่ “ครู” ไม่อาจควบคุมได้ทั่วถึง จะดีกว่าไหม แล้วไปเอาเวลาข้างหน้าชดเชยเอาก็ได้ หยุดแค่วันอาทิตย์ เรียนจันทร์-เสาร์ จะเพิ่มชั่วโมงให้มากขึ้น หรือจะไม่หยุดเลย ก็ลองไปปรับแผนกันดู จบเกมด้วยการเอาเวลาที่ปกติใช้ปิดเทอม เป็นไม่ปิด ก็น่าจะทำได้นะ
ข้อห้า : การแพทย์ทางเลือก โดยเฉพาะแพทย์แผนไทย ควรได้รับโอกาสอย่างจริงจัง
ข้อหก : เป็นข้อเสนอที่ “น่าคิด” ที่สุด ว่าเคยคิดจะหยุด จะยุติ “ความขัดแย้ง” กันจริงๆ จังๆ ไหม จากทุกฝ่ายเลยนะครับ ไม่ใช่เฉพาะจากรัฐ
ถึงเวลาต้องยอมรับว่า การใช้ “กติกา” ที่ได้เปรียบ-เอาเปรียบ นำพาบ้านเมืองมาสู่ปัญหา ความไม่ยอมรับ ความไม่ถูกต้อง ความไม่สง่างาม และเป็นมลทินมัวหมอง
ยอมเสียทีได้ไหมครับ ปลดล็อกกติกาหน้าด้านที่ถืออยู่ เพื่อ “ขจัดเงื่อนไข” ออกไป ไม่ให้อีกฝ่ายฉวยโอกาส“ก้าวล่วง” ไปถึงสถาบันอันเป็นที่เคารพรักของปวงชนชาวไทย การเมืองต้องยอม “สะสาง” ตัวเองด้วยตัวเอง
ทำความตกลงกันว่า หยุดป่วนชาติ สักระยะได้ไหมขอให้ร่วมมือกันแก้ปัญหาโควิด-19 ให้ทุเลา ส่งประชาชนเข้าสู่แดนปลอดภัย แก้กติกาที่เอาเปรียบ แล้วยุบสภา เลือกตั้งใหม่ แข่งขันกันอย่างเป็นธรรม ดีกว่าตั้งม็อบมาชุดแล้วชุดเล่า ชื่อแล้วชื่อเล่า อีกฝ่ายก็เอาบริวารออกไปตอบโต้ ปลุกมวลชนให้เผชิญหน้ากันด้วยความโกรธเกลียดต่อกัน
ถามว่า นั่น ดีต่อชาติบ้านเมืองอย่างไร สุดท้าย ใครจะได้อะไร โดยที่บ้านเมืองต้องสังเวยด้วยอะไร
ทั้งหมดนี้ แม้เริ่มจากการ “คิดเล่นๆ” ของ อ.ศศิน แต่เราเอาไปคิดต่อกันจริงๆ ได้นะครับ!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี