เรื่องวัคซีนป้องกันโควิด-19 คือเรื่องหนึ่งที่ทำให้ประชาชนทั่วประเทศเกิดอาการปั่นป่วนมาก มากเสียจนหลายคนประกาศว่าไม่ต้องการฉีดวัคซีนตัวนี้ เพราะไม่มั่นใจ ไม่แน่ใจ และไม่ไว้ใจ
เมื่อถามว่า ไม่มั่นใจ ไม่แน่ใจ และไม่ไว้ใจอะไรคำตอบคือ ไม่ไว้ใจรัฐบาล และไม่ไว้ใจนักการเมืองทุกคนบนแผ่นดินไทย เพราะคนจำพวกดังกล่าวจงใจเล่นการเมืองบนความเป็นความตายของประชาชนมาโดยตลอด นักการเมืองเลวๆ ไร้ความดี ต่างยกเอาประเด็นวัคซีนตัวนี้มาตั้งใจก่อความปั่นป่วนให้ประชาชน นักการเมืองจากพรรคฝ่ายค้านบางพรรคเลวถึงขนาดกล้าจงใจโกหกสังคมว่า มีการแบ่งแยกให้นักการเมืองฝ่ายค้านฉีดวัคซีนตัวหนึ่ง แล้วนักการเมืองฝ่ายรัฐบาลได้ฉีดวัคซีนอีกตัวหนึ่ง
เรื่องสามานย์เช่นนี้เป็นเรื่องบัดสี ที่นักการเมืองบัดซบจงใจสร้างขึ้น และเป็นเรื่องที่นักการเมืองต่างฝ่ายต่างก็รู้กันเป็นอย่างดี คำถามคือทำไมรัฐบาลจึงไม่แจ้งความเอาผิดขั้นเด็ดขาดเพื่อลงโทษด้วยกระบวนการทางกฎหมายกับนักการเมืองผู้จงใจให้ข่าวเท็จ
เป็นความมหัศจรรย์มากที่รัฐบาลพยายามให้ข่าวทุกวันเพื่อให้ประชาชนไปรับการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 แต่ในความเป็นจริงประชาชนกลับไม่สามารถได้รับวัคซีนดังกล่าวได้ หลายคนบอกตรงกันว่า วัคซีนป้องกันโควิด-19ตัวไหนก็ยินดีฉีดทั้งนั้น ขอให้มีวัคซีนฉีดให้ก็แล้วกัน แต่ขณะเดียวกัน ก็มีประชาชนอีกจำนวนมากที่ตั้งเงื่อนไขว่าต้องการฉีดวัคซีนยี่ห้อที่ตนปรารถนาเท่านั้น แม้กระทั่งนักการเมืองจำพวกที่ชอบสนับสนุนม็อบก็ยังอุตส่าห์แสดงความหน้าทนออกมาบอกว่า จริงๆ แล้วไม่ได้อยากฉีดวัคซีนตัวที่รัฐบาลมีให้ แต่ต้องจำใจฉีด เพราะต้องการทำงานให้บ้านเมือง ขอบอกตรงๆ ว่าเป็นคำโกหกมดเท็จที่น่าสมเพชที่สุด ซึ่งคำโกหกเช่นนี้แสดงให้เห็นว่าส่วนลึกของนักการเมืองฝ่ายค้านเพศหญิงรายที่ชอบเกาะอยู่หลังม็อบเป็นคนที่ไร้ความน่าเชื่อถือในทุกกรณี ไม่ว่าจะด้านคำพูดหรือด้านพฤติกรรมการเมือง
อย่างไรก็ตาม เมื่อกลับไปดูฝั่งรัฐบาล ก็พบว่าวันที่ 7 มิถุนายน 2564 ถูกกำหนดโดยรัฐบาลประยุทธ์จันทร์โอชา ว่าเป็นวันเริ่มต้นการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ให้กับคนไทยทั้งแผ่นดิน เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ให้ประชาชนให้ปลอดภัยจากเชื้อโควิด-19 ทั้งนี้นายกรัฐมนตรีประกาศโฆษณาว่าต้องฉีดให้ได้วันละ 5 แสนคน หรือเดือนหนึ่งต้องได้ 15 ล้านคน หรือล้านโดส แต่คำถามคือ รัฐบาลสามารถหาวัคซีนให้เพียงพอกับคำโฆษณาได้จริงหรือ เพราะรัฐบาลเองมีพฤติกรรมหลายอย่างที่ทำให้ประชาชนไม่เชื่อถือในคำพูดมาโดยตลอด
มีคำถามตามมาว่า ทุกวันนี้คนไทยได้รับวัคซีนป้องกันโควิด-19 ไปแล้วเป็นจำนวนกี่เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับประชากรทั้งประเทศ คำตอบที่ได้จากปากของอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ผู้ที่ได้รับวัคซีนป้องกันโควิด-19 เป็นคนแรกของประเทศไทย เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2564 คือ หลังจากการฉีดวัคซีนเข็มแรกในประเทศไทยผ่านไป 87 วัน (ประมาณ 3 เดือน) พบว่าคนไทย 3,024,313 คนได้รับวัคซีนป้องกันโควิด-19แล้ว คิดเป็นร้อยละ 4.32 ของจำนวนประชากรไทยทั้งประเทศ (จำนวนประมาณ 70 ล้านคน โดยรวมประชากรแฝงไว้แล้ว) ซึ่งคำนวณแล้วพบว่าฉีดได้วันละ 34,762 คน แต่อย่าลืมว่านายกรัฐนมตรีประกาศว่าต้องฉีดให้ได้วันละ 5 แสนคน ซึ่งพบว่าตัวเลขที่ฉีดจริงกับคำโฆษณาของนายกรัฐมนตรีห่างไกลกันกว่า 10 เท่าตัว
เมื่อถามต่อไปว่า แล้วคนไทยกี่คนที่ได้รับวัคซีนป้องกันโควิด-19 ครบสองเข็มเรียบร้อยแล้ว คำตอบของวันที่ 25 พฤษภาคม 2564 คือ 980,190 คน หรือร้อยละ 1.40 ส่วนผู้ได้รับวัคซีนเข็มแรกมีจำนวน 2,044,123 คน หรือร้อยละ 2.93 เท่านั้น
แต่ก็เข้าใจได้ว่าในช่วงแรกที่จำนวนผู้ได้รับวัคซีนยังไม่มากตามเป้า อาจเป็นเพราะว่ารัฐบาลยังไม่สามารถหาวัคซีนมาได้อย่างเพียงพอกับความต้องการ แต่ก็ยังไม่มีใครรับรองได้ว่าวันที่ 7 มิถุนายนเป็นต้นไป รัฐบาลจะสามารถหาวัคซีนป้องกันโควิด-19 มาให้ประชาชนได้เพียงพอกับความต้องการหรือไม่ยิ่งเมื่อดูข่าวเรื่องนายกรัฐมนตรีสั่งทบทวนการลงทะเบียนฉีดวัคซีนใน Apps หมอพร้อม ก็ยิ่งทำให้เกิดคำถามตามมามากยิ่งขึ้น
แม้กระทั่งโฆษก ศบค. (ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19) นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน ยังต้องออกมาบอกว่า จะฉีดวัคซีนให้ประชาชนเมื่อถึงเวลาอันเหมาะสมหลังจากมีข่าวว่า Apps หมอพร้อมถูกนายกรัฐมนตรีสั่งทบทวนเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมานี้
ย้อนหลังกลับไปเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2564 พบว่ารัฐบาลโดยกระทรวงสาธารณสุขประกาศให้ประชาชนลงทะเบียนจองคิวเข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ผ่าน Apps หมอพร้อม รอบแรกจำนวน 16 ล้านโดส 16 ล้านคน แต่เมื่อย้อนกลับไปดูสถิติการจองกลับพบว่า เวลาผ่านไป 10 วัน มีคนเข้าไปจองในระดับที่ต่ำมาก บางจังหวัดมีตัวเลขการจองน้อยจนน่าประหลาดใจ ทำให้พบว่ากลุ่มเป้าหมายจำนวน 14 ล้านคนไม่ยอมเข้าไปจองคิว ทั้ง ๆ ที่ระบุว่าจะได้รับวัคซีนของแอสตราเซเนกา(AstraZeneca) ก็ตามโดยจะเริ่มฉีดตั้งแต่เดือนมิถุนายน2564 เป็นต้นไป โดย 16 ล้านคนที่เป็นกลุ่มเป้าหมายหลักเบื้องต้นคือผู้มีอายุเกิน 60 ปีขึ้นไป (จำนวน 11.7 ล้านคน) ผู้ป่วยด้วยโรคเรื้อรังทั้ง 7 กลุ่มโรค (จำนวน 4.3 ล้านคน) ซึ่งข้อมูลในช่วงต้นระยะ 10 วันแรกของการเปิดให้จองฉีดวัคซีน พบว่ามีวัคซีนเหลือกว่า 14 ล้านโดส (14,391,994 ล้านโดส)
คำถามคือทำไมประชาชนที่ต้องได้รับวัคซีนจึงไม่ลงทะเบียนเข้าไปจอง คำตอบอาจเป็นเพราะว่า คนจำนวนหนึ่งไม่ไว้ใจวัคซีน และมีคำตอบอีกว่ามีปัญหามากมายในการจองคิวผ่าน Apps หมอพร้อม ก็ต้องถามต่อไปว่าความสับสนที่เกิดกับประชาชนมีต้นตอมาจากใคร เรื่องนี้รัฐบาลและนักการเมืองทุกคนน่าจะตอบได้ดีที่สุด
มาล่าสุดมีข่าวอีกว่าวัคซีนแอสตราเซเนกา จำนวน 1.7 ล้านโดสหายไปไหนไม่ทราบ ทั้งๆ ที่มีข่าวมาตลอดว่าวัคซีนจำนวนดังกล่าวมาถึงไทยก่อนกำหนด คือมาถึงตั้งแต่เดือนพฤษภาคม โดยจำนวนอีก 6 ล้านโดสจะมาถึงไทยในเดือนมิถุนายนนี้ คำถามที่สาธารณชนและบรรดาหมอทั้งหลายถามคือ วัคซีน 1.7 ล้านโดสหายไปไหน ใครเอาไป เอาไปไหน เอาไปได้อย่างไร ต้องบอกว่าเรื่องสำคัญนี้ยังคงไม่มีคำตอบชัด ๆ จากภาครัฐบาล เมื่อไม่มีคำตอบชัดๆ ก็จึงมีคำตอบจากเสียงลือเสียงเล่าอ้างแพร่กระจายตลอดเวลา แถมเมื่อมีเสียงบอกเล่าจากบรรดาคุณหมอทั้งหลายว่า ไม่แน่ใจว่าจะมีวัคซีนมาตามนัดหรือไม่ จนโรงพยาบาลหลายแห่งต้องแจ้งเลื่อนกำหนดฉีดวัคซีนเข็มที่สองออกไป โดยไม่สามารถจะยืนยันได้แน่ชัดว่าจะฉีดเข็มที่สองได้ในวันใด ก็ยิ่งทำให้ประชาชนที่ต้องการฉีดวัคซีนให้ครบทั้งสองโดสเกิดความไม่มั่นใจมากเข้าไปใหญ่ ส่วนคนที่ยังไม่ได้ฉีดแม้แต่เข็มเดียวก็ยิ่งไม่มั่นใจเพิ่มมากยิ่งขึ้น จนเข้าขั้นวิตกจริตไปตาม ๆ กัน
ต้องบอกว่า เรื่องวัคซีนป้องกันโควิด-19 ในประเทศไทยมีปมปัญหาให้ต้องซักต้องถามกันทุกวัน แต่ทุกครั้งเมื่อรัฐบาล โดยเฉพาะนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขออกมาพูดวัคซีนคราวใด ก็จะเกิดความปั่นป่วนตามมาเกือบทุกครั้งไป จนเกิดคำถามว่า ตกลงแล้วใครกันแน่ที่เป็นผู้มีอำนาจควบคุมวัคซีนตัวนี้ในประเทศไทย แต่ก็มีเสียงครหาตลอดเวลาว่า มีอดีตนักการเมืองรายหนึ่งอยู่หลังฉากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข โดยอดีตนักการเมืองระดับเจ้าพ่อรายนั้นมีอิทธิฤทธิ์อิทธิเดชสั่งการได้ว่าจะบันดาลให้วัคซีนป้องกันโควิด-19 ไหลทะลักไป ณ ที่แห่งใดในประเทศนี้ แต่ขณะเดียวกัน นายกรัฐมนตรีก็ประกาศตั้งศูนย์บริหารจัดการวัคซีนโควิด-19 แบบเบ็ดเสร็จ โดยนายกรัฐมนตรีเป็นผู้ควบคุมศูนย์นี้แบบ singlecommand โดยภาระของศูนย์นี้คือบริหารจัดการวัคซีนร่วมกับภาคเอกชน วางแผนจัดหาวัคซีนทางเลือก วางแผนและกำหนดสถานที่สำหรับฉีดวัคซีน และการกำหนดให้ประชาชนเข้ารับการฉีดวัคซีน
เรื่องวัคซีนป้องกันโควิด-19 ในประเทศไทยเป็นเรื่องที่นับได้ว่าซับซ้อนซ่อนเงื่อนมาก และบอกได้คำเดียวว่ามีความน่าสงสัยมาโดยตลอด ซึ่งความสงสัยจนนำไปสู่ความปั่นป่วนโกลาหลทางความคิดของประชาชนล้วนแล้วแต่เกิดมาจากคำพูดของคนในรัฐบาลและจากนักการเมืองเป็นประการสำคัญ ส่วนสิ่งมีชีวิตจำพวกบ่างที่คอยยุแหย่ให้เกิดความเข้าใจผิดในหมู่ประชาชนรวมถึงพวกจงใจแปลงสารเพื่อให้เกิดความโกลาหลในสังคม ก็เป็นตัวการสำคัญอีกชนิดหนึ่ง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องบอกว่าเป็นหน้าที่หลักของรัฐบาลผู้กุมอำนาจรัฐต้องเข้าไปจัดการเรื่องทั้งหมดให้ได้โดยเร็ว แล้วที่สำคัญยิ่งกว่าสิ่งอื่นใดคือรัฐบาลต้องไม่เป็นตัวการทำให้เกิดความสับสนเสียเอง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี