วันนี้ ขอสรุปรวมประเด็นการบิดเบือนเรื่องวัคซีนอันน่าสมเพช เวทนา และน่าละอาย
เอาตัวอย่างสัก 7 เรื่อง ดังนี้
1. สถาปนิกผู้อื้อฉาว (สมาชิกกลุ่มการเมืองที่เชียร์ทักษิณอยู่ในขณะนี้) ร่วมกับผู้บริหารบริษัทอสังหาริมทรัพย์เอกชน อ้างว่า รุ่นน้องมีวัคซีนซิโนฟาร์มพร้อมขาย 40 ดอลลาร์ต่อโดส (หรือ 1,200 บาทต่อโดส) จำนวน 20 ล้านโดส แต่พวกรัฐบาลไม่มีใครสนใจ มีแต่ถามหาผลประโยชน์ แถมสาดโคลนเอาดื้อๆ ว่า แค่ค่าคุยก็ 5 ล้านบาท
ปรากฏว่า หลังจากนั้น ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ฯ ประกาศนำเข้าวัคซีนซิโนฟาร์มมาให้บริการ โดยดำเนินการอย่างถูกต้องตามขั้นตอนกฎหมาย คุยกับตัวแทนของผู้ผลิตซิโนฟาร์มอย่างเป็นทางการ และประกาศจะขายให้องค์กรที่จะซื้อไปบริการสมาชิกของตนเองฟรี (ไม่ขายให้คนซื้อไปค้ากำไรต่อ) โดยจะขายในราคาที่ไม่หวังกำไร ค่าวัคซีน+ค่าขนส่ง+ค่าเก็บรักษา+ค่าประกัน จะขายราว 1,000 ต่อโดส (แสดงว่าดีลได้ค่าวัคซีนถูกกว่านั้นเยอะ)
ซึ่งเมื่อเทียบกับที่สถาปนิกผู้อื้อฉาวป่าวประกาศไว้ ราคาโดสละ 40 ดอลลาร์ หรือ 20 ล้านโดสก็ราวๆ 24,000 ล้านบาท จะพบว่า หากรัฐบาลโง่และมึน งับตามข้อเสนอที่โอ่อ้างนั้น มี “ส่วนต่าง” เยอะเอาการ
2. มีขบวนการโจมตีราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ ว่าได้รับจัดสรรงบประมาณแผ่นดิน ปีละกว่า 5 พันล้านบาท ทำไมมาคิดเงินค่าวัคซีนจากประชาชน?
นักการเมืองที่โจมตีเรื่องนี้ ถ้าไม่โง่ ก็ดักดานด้วยความริษยาจนน่าสมเพช
เพราะงบประมาณแผ่นดินที่ราชวิทยาลัยฯได้รับจัดสรรนั้น ส่วนใหญ่คือรายจ่ายประจำ แล้วที่เหลือก็คืองบโครงงานอื่นๆ ที่มีการนำเสนอโครงการ ผ่าการอนุมัติให้นำงบไปใช้จ่ายตามโครงการเหล่านั้น ไม่ใช่ค่าวัคซีน
ส่วนเรื่องวัคซีน ราชวิทยาลัยฯ เข้ามาช่วยเสริมเป็น “วัคซีนทางเลือก” ไม่หวังกำไร เพื่อว่า คนที่มาฉีดซิโนฟาร์มสัก 5 แสนคน หนทางหลักที่รัฐบาลจัดฉีดให้ฟรี (แอสตราฯ ซิโนแวค) ก็เบาลงบ้าง
โดยแหล่งรายได้ของราชวิทยาลัยฯ ตามกฎหมาย มีหลายช่องทาง ไม่ได้แค่งบประมาณจากรัฐบาลเท่านั้น
3. อ้างว่า ไฟเซอร์เคยเสนอขายวัคซีนให้ไทยในราคาพิเศษ ไม่ต้องใช้เงินซื้อ มีวัคซีนให้ใช้ก่อน ค่อยจ่ายทีหลัง
มันเหลือเชื่อมากที่มีคนเชื่อเรื่องนี้
มันน่าสมเพชมากๆว่าที่นักการเมืองยังเอาเรื่องนี้มาโจมตีทางการเมือง
ก่อนหน้านี้ สหรัฐอเมริกา หวงไฟเซอร์อย่างกับจงอางหวงไข่ ไม่มีเลยที่จะเที่ยวแจกประเทศอื่นให้ใช้ไปก่อน จ่ายตังค์ทีหลังในราคาถูกๆ เพิ่งจะประกาศไม่นานมานี้เองว่าเปลี่ยนนโยบาย จะส่งออกให้ประเทศอื่นๆ มากขึ้น (หลังจากผู้ผลิตโกยรายได้ค่าวัคซีนไปมโหฬารเป็นประวัติการณ์)
4. นายทักษิณ ชินวัตร บิดเบือนว่า มีการนำเข้าวัคซีนไฟเซอร์มาฉีดให้คนบางกลุ่ม แล้วบริวารก็นำไปขยายความทางการเมืองให้คนเข้าใจผิดว่า นำมาฉีดให้กลุ่มอภิสิทธิ์ชนพรรคพวกรัฐบาล
สุดท้าย ความจริงก็ปรากฏแค่ว่า สถานทูตสหรัฐดำเนินการจัดส่งวัคซีนมาใช้ในบุคลากรของตนเอง
ก่อนหน้านั้น นายทักษิณก็ทำเป็นพูดคุยโอ่ว่าจะให้ช่วยเจรจาวัคซีนสปุตนิกฯ ของรัฐเซีย หรือไม่? จนขนาดกองเชียร์อย่างพิมรี่พาย ก็หลงฟิน หลงเชื่อว่าเหตุที่มีความคืบหน้าการจัดหาวัคซีนสปุตนิกฯ เกิดจากฝีมือทักษิณ ทั้งๆ ที่ ไม่เกี่ยวอะไรด้วยเลย แต่เป็นเพราะเจ้าหน้าที่ทางการไทย และกระทรวงการต่างประเทศได้ดำเนินการเจรจาและลงรายละเอียดระดับปฏิบัติการมาอย่างต่อเนื่องก่อนหน้านั้นหลายเดือน เป็นไปตามนโยบายของนายกรัฐมนตรี โดยไม่มีนายหน้าเป็นนักโทษหนีคุกคดีทุจริตโกงกินรายไหนแต่อย่างใด
5. การยกย่องเชิดชูอิสราเอลเป็นต้นแบบการจัดการวัคซีน เพียงเพราะอิสราเอลได้ไฟเซอร์ไปฉีดก่อนใครเพื่อนในโลก โดยไม่กล่าวถึงที่มาที่ไป บริบท และเงื่อนไขความเป็นจริง
นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ได้ออกมาให้ข้อมูลเพิ่มเติม ระบุว่า
“...เมื่อคืนได้ฟังนายธนาธรไลฟ์ เสนอแนะรัฐบาลเรื่องการจัดการวัคซีน ใน 5 ข้อเสนอ ผมคิดว่าฟังแล้ว ไม่มีอะไรน่าสนใจ และมีบางเรื่องที่นายธนาธรก็พูดความจริงไม่หมด หรือตั้งใจไม่พูด
เอาแค่ประเด็นแรก เรื่องเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรี ลงมาจัดการเอง และได้ยกตัวอย่าง นายกรัฐมนตรีอิสราเอล เนทันยาฮู เป็นผู้ลงมาจัดการนายธนาธร ต้องการให้นายกฯไทยทำแบบนั้น
ผมต้องให้รายละเอียดเพิ่มเติม ที่นายธนาธรไม่พูดถึงอิสราเอลเลย นายธนาธรรู้ไหมว่าเงื่อนไขที่อิสราเอลเสนอคือ รัฐบาลอิสราเอลจะเปิดข้อมูลให้แก่ไฟเซอร์ และองค์การอนามัยโลกใน 5 รายการ 1.อายุ 2.เพศ 3.ประวัติทางการแพทย์ 4.ผลข้างเคียง 5.ประสิทธิภาพของวัคซีน
ถ้าเรามองข้อมูลที่ต้องเปิดเผยให้ไฟเซอร์ และWHO เท่ากับว่า นี่คือการเอาเรื่องการฉีดซีนนี้มาศึกษาวิจัยในประชากรของประเทศอิสราเอลเอง และยังไม่รวมถึงราคาแพงถึง 47 เหรียญต่อโดสขณะที่ขณะนี้ตลาดทั่วไป ราคาเพียง 19.5 เหรียญต่อโดส
ผมเชื่อเลยว่า ถ้ารัฐบาลไทยทำตามเงื่อนไขนี้รับรองจะต้องถูกโจมตีว่า เอาคนไทยไปเป็นหนูทดลองให้แก่บริษัทวัคซีน นี่ไม่ต้องพูดถึงเรื่องราคา แต่บังเอิญ คนในประเทศอิสราเอล เขาไม่เอาเรื่องนี้มาเล่นการเมืองเหมือนคนไทย...”
6. การพยายามสร้างอุปทานหมู่ ด้อยค่าวัคซีนบางยี่ห้อ
ทั้งๆ ที่ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญแนวหน้าของไทย ล้วนยืนยันตรงกันว่า วัคซีนมีคุณภาพ มีความปลอดภัยเพียงพอ
ส่วนที่น่าสมเพช เช่น บอกว่าวัคซีนซิโนแวคเป็นวัคซีนด้อยคุณภาพ อันตราย ด้วยการให้ข้อมูลเท็จประเภทว่าคนนั้นฉีดแล้วตาย โดยที่บางรายที่ถูกอ้างว่าเป็นผลจากวัคซีนนั้น เขาไม่ได้ฉีดวัคซีนเลยก็มี
ขณะเดียวกัน ประสิทธิผลการใช้จริงของซิโนแวคก็ปรากฏให้เห็นมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งในประเทศจีนอินโดนีเซีย อุรุกวัย และแม้แต่ในประเทศไทย ที่คนไทยหลากหลายอาชีพ รวมทั้งคุณหมอ พยาบาล แพทย์ ฉีดซิโนแวคไปแล้วกว่า 3 ล้านโดส ก็ไม่ได้เป็นอันตรายอย่างที่โจมตี
นอกจากนี้ ในพื้นที่ระบาดหนัก ในประเทศจีน ก็ใช้ซิโนแวค และซิโนฟาร์ม จนสามารถควบคุมการแพร่ระบาด กลับมาเปิดคอนเสิร์ตที่อู่ฮั่นโดยไม่ต้องสวมหน้ากากอนามัยกันได้แล้ว
ในทางตรงกันข้าม วัคซีนยี่ห้ออื่นๆ ที่มีข้อมูลอาการไม่พึงประสงค์หลังฉีดวัคซีนไม่น้อยไปกว่ากันในต่างประเทศ แม้แต่ในสหรัฐอเมริกา คนพวกนี้กลับเลี่ยงที่จะเอ่ยถึง เพียงเพราะต้องการเชียร์ยี่ห้อที่เข้าทางผลประโยชน์พรรคพวกตน และด้อยค่าโจมตีวัคซีนที่ทางการไทยมีไว้บริการประชาชนฟรี
ล่าสุด สส.พรรคก้าวไกลบางคน ทวีตข้อความในทวิตเตอร์ระบุทำนองว่า สส.พลังประชารัฐ และสส.รัฐบาล ได้ฉีดวัคซีนแอสตราเซเนกา โดยเจ้าหน้าที่จะถามก่อนว่าเป็นสส.พรรคไหน ถ้าเป็นพรรคฝ่ายค้านเจอซิโนแวค
ปรากฏว่า สส.รัฐบาลหลายคนออกมาปฏิเสธข้อมูลดังกล่าว พร้อมแสดงหลักฐานยืนยันว่าตนเองก็ได้ฉีดซิโนแวค และไม่มีการเลือกปฏิบัติเช่นนั้นเลย
อันที่จริง แม้แต่รัฐมนตรีครึ่งค่อนรัฐบาล ก็ฉีดซิโนแวคทั้งนั้น ไล่ตั้งแต่ รมว.สธ.อนุทิน รมช.สธ.สาธิต ฯลฯ
สส.ที่แพร่ข้อมูลเท็จข้างต้น ย่อมรู้หรือควรรู้
นั่นจึงส่อเจตนาชัดเจนว่าต้องการให้สังคมสับสน และก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชน กระทบต่อการรับรู้ข้อมูลข่าวสารและความเข้าใจที่ถูกต้องและความน่าเชื่อถือของประชาชน อันอาจกระทบต่อความมั่นคงของชาติในภาวะวิกฤติ เข้าข่ายความผิดตามพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์อย่างชัดแจ้ง และยังเป็นการฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง
7. การโจมตีว่ารัฐบาลไม่อนุญาตให้เอกชนนำเข้าวัคซีนยี่ห้ออื่นๆ
ความจริง คือ ในปัจจุบัน วัคซีนที่ อย. ขึ้นทะเบียน (แบบใช้ในภาวะฉุกเฉิน) แล้ว 5 ยี่ห้อ ได้แก่ แอสตราเซเนกา ซิโนแวค แจนเซ่น โมเดอร์นา และล่าสุด คือ ซิโนฟาร์ม
ใครอยากไปเจรจานำมาขาย ก็ติดต่อผู้ผลิตหรือตัวแทนผู้ผลิตเลย รัฐบาลไม่ห้าม
แต่ผู้ผลิตจัดจำหน่ายจะขายให้ด้วยเงื่อนไขไหน มีของเมื่อไหร่ แล้วใครจะรับความเสี่ยงถ้าเอามาฉีดแล้วโดนผู้บริโภคฟ้องเรียกค่าเสียหาย ใครรับประกัน ไปเจรจาตกลงกันเอง
กรณีราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ จะนำเข้าซิโนฟาร์ม
ก็เจรจากับตัวแทนของผู้ผลิตที่ได้รับมอบหมายอย่างเป็นทางการ และตัวแทนผู้ผลิตเขาก็ไปดำเนินการจนผ่านการขึ้นทะเบียน อย.แล้ว ก็ไปเจรจาตกลงกันได้
ส่วนผู้ผลิตบางรายที่ไม่มีนโยบายขายให้เอกชน ก็เป็นการตัดสินใจบนพื้นฐานความคุ้มค่าและการบริหารความเสี่ยงของผู้ผลิตเอกชนเอง ไม่ใช่ว่ารัฐบาลไปสั่งห้ามนำเข้าแต่อย่างใด
สันติสุข มะโรงศรี
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี