วัดใจพรรคร่วมฝ่ายค้านอีกครั้งหลังการเปิดสมัยประชุมสภาสมัยวิสามัญ เพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ. งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2565 ที่รองนายกฯ วิษณุได้ให้ความเห็นก่อนการเปิดสมัยประชุมแล้วว่าถ้าหากไม่ผ่าน ก็อาจมีการยุบสภา หรือลาออก เนื่องจากเป็นทำเนียมปฏิบัติ ซึ่งก็มองได้ทั้งข้อมูลเชิงข้อเท็จจริง หรืออาจเป็นการแจ้งเตือนพรรคร่วมหากใครคิดจะแตกแถว ทั้งที่จริงๆฝ่ายรัฐบาลยังครองเสียงส่วนใหญ่ในสภา และคงมีเสถียรภาพต่อไปได้จนถึงหมดสมัยประชุม
เอาจริงๆ สถานการณ์ระหว่างพรรคพลังประชารัฐ และพรรคร่วมรัฐบาลที่ผ่านมาก็มีปมขัดกันบ้าง
มาก่อนหน้านี้แล้ว ทั้งกับพรรคประชาธิปัตย์ที่มีข่าวต้องเคลียร์ใจกันไปแล้ว ต่อมาด้วยเรื่องของภูมิใจไทยที่มีปัญหาที่ดูจะเป็นความขุ่นมัวกันตั้งแต่เรื่องของอำนาจการบริหารสถานการณ์โควิด-19 ที่มีการตั้งกลไกพิเศษอย่าง ศบค. มาควบคุมการปฏิบัติของกระทรวงสาธารณสุข จนอาจทำให้เป็นความขุ่นเคืองระหว่างนายกฯ และรัฐมนตรีเจ้ากระทรวงที่เหมือนจากถูกลดบทบาท
การอภิปรายในเรื่องของงบประมาณ ที่ครั้งนี้มีสส. จากพรรคภูมิใจไทยอภิปรายในประเด็นของงบประมาณด้านสาธารณสุข ผู้ที่ออกมาอภิปรายก็ถือว่าเป็นระดับขุนพลของภูมิใจไทยที่ออกมากล่าวไปทำนองว่า “ท่านหัวหน้าพรรค ถ้าเค้าไม่เห็นความสำคัญเรา เรากลับพรรคกันดีกว่า” ขณะที่ฝ่ายค้านครั้งนี้ก็มาแปลก ที่เน้นอภิปรายว่างบประมาณรายจ่ายน้อยเกินไปแต่ระบุชี้ไปเฉพาะกระทรวงสาธารณสุขว่าควรได้งบฯมากกว่านี้ การอภิปรายดังกล่าวบวกกับการช่วยย้ำแผลของฝ่านค้าน ภาพรวมจึงอาจถูกมองได้ว่า เป็นรอยร้าวของพรรคร่วมหรือไม่?
อย่างไรก็ตามนายกรัฐมนตรีในฐานะผู้นำประเทศ ไม่ใช่เพียงผู้นำหัวโต๊ะคณะรัฐมนตรี ก็จำเป็นต้องหาสมดุลของการบริหารและปกครองจากทั้งการฟังเสียงพรรคร่วมรัฐบาล กับการปกครองประชาชนทั้งประเทศและการบริหารสถานการณ์ที่ยังไม่สามารถระบุจุดจบได้ จะตามใจทุกคนทุกฝ่ายคงไม่ได้
เมื่อพิจารณาเรื่องการจัดสรรงบประมาณของประเทศด้วยงบประมาณที่จำกัด ผู้นำรัฐบาลก็จำเป็นต้องหาสมดุลของการจัดสรรงบประมาณในการแก้ปัญหาประเทศและการพัฒนาประเทศในทุกๆ ด้าน เพื่อตอบสนองประชาชนทุกกลุ่ม แต่ด้วยสถานการณ์วิกฤตการณ์โควิดที่เกิดขึ้น และมาวันนี้เข้าสู่ปีที่สองของการประคองสถานการณ์แล้วและยังไม่มีท่าทีสถานการณ์จะยุติเมื่อไร นี่ยังไม่นับการต้องเตรียมงบประมาณส่วนหนึ่งสำหรับฟื้นฟูเศรษฐกิจประเทศหลังโควิด การจัดสรรงบประมาณประเทศจึงต้องหาสมดุลให้ดีระหว่างภาระงานปกติและภาระงานจากโควิด และต้องรักษาสมดุลของตัวเลขงบประมาณที่ต้องคำนึงภาระหนี้รัฐและการจัดสรรงบประมาณในปีต่อๆ ไปด้วย ทุกหน่วยงานทุกกระทรวงจึงควรทบทวนภาระงานและงบประมาณของตนเองว่าสามารถที่จะปรับ หรือ ไกล่เกลี่ย หรือ แปลงโครงการ มาสนับสนุนงานที่เกี่ยวกับการแก้ปัญหาและการช่วยเหลือดูแลประชาชนในมิติต่างๆ ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด ทุกหน่วยงานก็ต้องเสียสละทรัพยากรหรืองบประมาณตัวเองระดมมาช่วยเหลือและแก้ปัญหาโควิดในทุกมิติ โดยมองว่าเป็นวาระแห่งชาติ ไม่ใช่เพียงวาระของสาธารณสุขเพียงลำพัง ซึ่งในปีที่แล้วถือว่าทำได้ดีสำหรับแต่ละกระทรวงที่มีการปรับเกลี่ยมาช่วยตามบทบาทอำนาจหน้าที่ของแต่ละกระทรวง แต่ด้วยงบประมาณที่จำกัดแต่จำเป็นต้องใช้ จึงเป็นหน้าที่ของนายกรัฐมนตรีที่จะต้องหาสมดุลของจัดสรรงบประมาณในรูปแบบใหม่ตามสถานการณ์
แต่สำหรับการบริหารประเทศในเวทีโลก หรือการบริหารประเทศต่อสถานการณ์ต่างๆ นั้นไม่ได้มีเพียงเรื่องแก้ปัญหาโควิดอย่างเดียว ยังมีปัญหาอื่นที่รัฐบาลต้องจัดการ นอกจากนี้หลังโควิดจะเกิดอะไรขึ้น สถานะประเทศไทยในโลกจะเป็นอย่างไร เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นขณะนี้จำเป็นให้ทุกประเทศต้องหยุดแล้วออกสต้าทพร้อมกันหลังโลกคุมสถานการณ์โควิดได้แล้ว ผู้นำประเทศควรต้องมองไปถึงการแก้ปัญหาทุกวันนี้และการเตรียมความพร้อมสำหรับการแข่งขันต่อจากนี้
ทุกประเทศต่างมีแนวทางในการดึงจุดแข็งตนเองมาสร้างเสริมศักยภาพในการแข่งขันของประเทศ และคงสถานะประเทศนั้นๆ ในเวทีโลก ที่ต้องรักษาไว้ซึ่งดุลอำนาจสามอย่าง คือ อำนาจต่อรองทางการทหาร อำนาจต่อรองเศรษฐกิจระหว่างประเทศและอำนาจต่อรองทางการเมืองระหว่างประเทศ ขาดอันใดอันหนึ่งก็จะขาดพลัง
ซึ่งเมื่อกลับมาย้อนดูเรื่องความสมดุลทางด้านงบประมาณเพื่อเสริมสร้างศักยภาพทั้งสามด้าน นั้น โดยหากสังเกตจากการใช้จ่ายงบประมาณของชาติมหาอำนาจและประเทศพัฒนาต่างๆ ทั่วโลก จะเห็นว่าการพัฒนาฐานอำนาจทั้งสามด้านควบคู่กันจะสามารถทำให้ประเทศมีอำนาจต่อรองเหนือประเทศอื่น
แม้จะบอกว่าตอนนี้ไม่ใช่ยุคสงครามโลกแต่ในสถานการณ์เช่นนี้ รวมถึงความขัดแย้งของประเทศยักษ์ใหญ่ทั่วโลกที่เป็นทั้งเรื่องการทหารตรงๆ หรือเรื่องการค้า เช่นนี้ มิอาจปฏิเสธได้ถึงความไม่มั่นคงจากเรื่องความปลอดภัยของประเทศไม่ว่าประเทศใด การฝึกซ้อมและการพัฒนาศักยภาพประเทศด้านยุทโธปกรณ์ก็ยังเป็นประเด็นที่จะปล่อยวางไม่ได้ เพราะหลายครั้งอำนาจต่อรองทางการทหาร ก็นำมาซึ่งอำนาจต่อรองทางการเมืองระหว่างประเทศ และอำนาจต่อรองเศรษฐกิจระหว่างประเทศด้วย ซึ่งหากกล่าวแบบฝ่ายค้านว่าเตียงพอแล้วหรือถึงจะซื้ออาวุธ หรือ รถถังมันสู้โควิดไม่ได้? ก็เป็นความคิดที่จะตื้นเขินเกินไป
ประเทศมหาอำนาจในโลกนี้อย่างเช่น สหรัฐฯมีอำนาจต่อรองทางการทหารที่ชัดเจนตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่สองและยังมีกองกำลังกระจายอยู่ทั่วโลกโดยไม่มีทีท่าจะปรับลดลง มีอำนาจต่อรองทางการเมืองระหว่างประเทศในฐานะกลุ่มผู้นำของกลุ่มประเทศในมิติต่างๆ ที่สหรัฐเป็นผู้ริเริ่มขึ้น และที่สำคัญมีอำนาจต่อรองทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศอันเป็นผลจากการใช้อำนาจการเมืองระหว่างประเทศจากองค์กรระหว่างประเทศต่างๆ ที่สหรัฐก่อตั้งหรือผลักดันให้เกิดขึ้น ขณะที่ประเทศรัสเซียมีอำนาจต่อรองกับการทหารจากศักยภาพของกองทัพและความสามารถในการผลิตยุทโธปกรณ์ มีอำนาจต่อรองการเมืองระหว่างประเทศจากฐานกลุ่มประเทศที่มีความเกี่ยวพันกับรัสเซีย ตลอดจนประเทศพันธมิตรที่มีอุดมการณ์คล้ายกัน แต่รัสเซียก็ยังขาดอำนาจต่อรองทางเศรษฐกิจที่ด้อยกว่าสหรัฐฯ ตลอดจนขนาดเศรษฐกิจที่ไม่ใหญ่มากนักทั้งจากการบริโภค และการลงทุนในต่างประเทศ พี่ใหญ่แห่งเอเชียอย่างจีนก็มีจุดเด่นในเรื่องของอำนาจต่อรองทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศที่ชัดเจนและเข้มแข็งในฐานะฐานการผลิตของโลก มีอำนาจทางการเมืองระหว่างประเทศอย่างชัดเจนเหนือภูมิภาคเอเชีย มีอำนาจต่อรองทางการทหารที่นับวันจะยิ่งเติบโตทั้งในศักยภาพของกองทัพและศักยภาพในการผลิตยุทโธปกรณ์
ขณะที่ญี่ปุ่นที่มีพื้นฐานอำนาจทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศดีมานานแล้วตั้งแต่สหรัฐฯเข้ามาวางระบบให้ แต่ญี่ปุ่นไม่มีอำนาจทางการทหารเลยและส่งผลให้ญี่ปุ่นไม่มีอำนาจต่อรองทางการเมืองระหว่างประเทศทำให้สถานะคู่แข่งของจีนในอาเซียนกลับด้อยลงอย่างเห็นได้ชัด
มาถึงไทยประเทศไทยที่เป็นศูนย์กลางของภูมิภาค มีภูมิศาสตร์ที่ตั้งอยู่ระหว่างมหาสมุทรอินเดีย และแปซิฟิก เป็นส่วนหนึ่งในประเทศชั้นนำของเอเชียและเป็นส่วนสำคัญในอาเซียน อำนาจทางการทหารประเทศไทยไม่เป็นรองชาติอื่นในอาเซียน มีอินโดนีเซียที่มีขนาดกองทัพที่ใหญ่กว่า และมาเลเซียที่มียุทโธปกรณ์ที่ทัดเทียมกับไทย ? อำนาจต่อรองทางเศรษฐกิจประเทศไทยมีพอประมาณและมีศักยภาพโอกาสเติบโตในสายตาต่างชาติ รวมถึงศักยภาพทางด้านการผลิตอาหารที่เป็นยุทธศาสตร์สำคัญของไทยที่ต่างชาติให้การยอมรับ ขณะที่ทางด้านการเมืองระหว่างประเทศประเทศไทยมีอำนาจต่อรองทางการทูต และการรักษาดุลอำนาจระหว่างชาติมหาอำนาจ ที่ไทยก็ทำได้ดีมาตลอด การวางเป้าหมายของประเทศจึงต้องมองให้ไกลในเรื่องของปัจจัยด้านอื่น ไม่ใช่มองแต่การแก้ปัญหาสถานการณ์เฉพาะหน้า เพราะเมื่อถึงวันที่สถานการณ์คลี่คลายกลไกด้านอื่นก็จำเป็นต้องมีบทบาทเช่นกัน การวางเป้าหมายระยะสั้นเพียงวิกฤติโควิดอาจทำให้เป้าหมายหลักคลาดเคลื่อนไปได้ ต้องมองที่จุดแข็งของไทยที่จะรักษาสมดุลของการอยู่รอดในฐานะสมาชิกในเวทีระหว่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นด้านเศรษฐกิจ การทหาร และการเมือง ซึ่งประเทศไทยมีศักยภาพในทั้งสามด้าน ที่จะเติบโตและเป็นจุดแข็งของเราในอาเซียนและในเอเชีย แต่จะทำเช่นนั้นได้รัฐบาลต้องมองให้ไกลกว่าเดิม ดังนั้นหากกลับมามองในเรื่องของการจัดสรรงบประมาณ ก็ต้องมองให้ไกลว่าการจัดสรรในวันนี้จะให้ผลอะไรในอนาคต จึงต้องมองข้ามเพียงเรื่องการเมือง วาทกรรม และกระแสสังคมที่มีผู้ได้และเสียประโยชน์อยู่เบื้องหลังการสร้างกระแสของคนในสังคม
วันนี้รัฐบาลมาถูกทางแล้วในเรื่องของการบริหารสถานการณ์โควิด-19 คือการตัดสินใจเลือกเป็นฐานการผลิตของ AstraZeneca เพื่อสร้างความมั่นคงในเรื่องของวัคซีน ตลอดจนวัคซีนที่เลือกมาเสริมอย่างSinovac ที่หลายคนบอกว่าไม่ได้มาตรฐานก็ได้ผ่านการรับรองจากองค์การอนามัยโลกแล้ว การจัดสรรงบประมาณในรอบนี้นอกจากมองมุมของการบริหารวิกฤติแล้วก็ต้องมองออกไปให้ไกลถึงโลกหลังวิกฤติด้วยว่าอะไรจะเป็นหมากสำคัญของประเทศต่อไป.....
“โชคและเคราะห์ ความจริงพิสดารยิ่ง
หากท่านพบพานเรื่องเคราะห์ร้าย อย่าได้ตัดพ้อ ตำหนิ อย่าได้ท้อแท้
แม้นับว่าท่านถูกเคราะห์จู่โจมจนล้มลงก็หาเป็นไรไม่
ขอเพียงยังมีชีวิต ท่านก็ต้องยังมีเวลาทรงกายขึ้นยืนได้”
(โกวเล้ง จากมังกรเมรัย)
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี