นักการเมืองในสภา อุตส่าห์ใช้เวทีการอภิปรายงบประมาณ พยายามฟอกขาวให้การทุจริตในโครงการจำนำข้าว ยุครัฐบาล “ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ” อันเป็นเหตุให้มีผลขาดทุนมหาศาลกว่าที่ควรจะเป็น
ประธานวิปฝ่ายค้าน ถึงขนาดอ้างว่า จำนำข้าวเป็นนโยบายสาธารณะจึงต้องมีรายจ่าย ขาดทุนเป็นธรรมดา รัฐบาลไหนๆ ช่วยประชาชน ก็เป็นอย่างนั้น!!!!
ที่ไม่น่าเชื่อ คือ ถึงกับบังอาจหยิบเอาพระราชดำรัส “ขาดทุนคือกำไร” มาแอบอ้าง !!!
1. ในหลวง ร.9 ทรงมีโครงการพระราชดำริมากมาย มีความยั่งยืน มั่นคง หลายโครงการสามารถต่อยอดจนเลี้ยงตัวเองได้ มีผลกำไร และขยายความช่วยเหลือไปยังประชาชนจำนวนมากขึ้นไปเรื่อยๆ
ร.9 เคยมีพระราชดำรัสว่า “...ถ้าหากว่าอยากให้ประชนอยู่ดีกินดี รัฐจะต้องลงทุน ต้องสร้างโครงการซึ่งต้องใช้เงินจำนวนเป็นร้อยเป็นพันเป็นหมื่นล้าน ถ้าทำไปก็เป็น “loss” เป็นการเสีย เป็นการขาดทุน เป็นการจ่าย คือรัฐบาลต้องตั้งงบประมาณรายจ่าย ซึ่งมาจากเงินของประชาชน แต่ว่าถ้าโครงการดี ในไม่ช้าประชาชนก็จะได้กำไร..” - พระราชดำรัสพระราชทานแก่คณะบุคคลต่างๆ ที่เข้าเฝ้าฯ ถวายพระพรชัยมงคลเนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา ณ ศาลาดุสิดาลัย วันพุธที่ 4 ธันวาคม 2534
บริบทของแนวพระราชดำรัสนี้ คือ การพัฒนาเพื่อการอยู่ดีกินดีของประชาชนนั้น อย่าไปนึกหวังกำไรหรือผลตอบแทนแต่อย่างเดียว ทำอะไรต้องลงทุนลงแรงและปัจจัยบางอย่างเสียก่อนเพื่อสร้างผลกำไรในอนาคต คือ ความอยู่ดีมีสุขของประชาชน
เป็นแนวคิดแนวทางที่เป็นประโยชน์ ใช้ได้จริง มีตัวอย่างรูปธรรมมากมาย
2. ส่วนโครงการจำนำข้าว ยุครัฐบาล “ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ” เป็นคนละเรื่อง คนละโลก คนละจักรวาล คนละแบบกับแนวทาง “ขาดทุน คือ กำไร” อย่างสิ้นเชิง
เหมือนเอาฟ้า มาเทียบกับเหว
ยิ่ง “การจงใจปล่อยปละละเลย” ให้มีการ “ทุจริตโกงกิน” โดยเฉพาะ “การทุจริตระบายข้าวจีทูจีเก๊” อันมีผลทำให้โครงการเสียหายมหาศาล ไม่มีเงินหมุนกลับไปจ่ายค่าข้าวชาวนาอย่างทันท่วงที ทำให้ต้นทุนการเก็บข้าว ค่าเช่าโกดัง ค่าดอกเบี้ย พุ่งมหาศาล และที่สำคัญ ทำให้ขายข้าวได้เงินกลับมาน้อยนิดกว่าที่ควรจะเป็น เพราะปล่อยให้พรรคพวกเสี่ยเปี๋ยงเข้ามาทำตัวเป็นเสมือนนายหน้า หากินกับข้าวในโกดังรัฐ ขายราคาถูกกว่าท้องตลาด โดยไม่ต้องประมูล โดยอ้างว่าเป็นการขายรัฐบาลต่อรัฐบาล (จีทูจี)
ทุกวันนี้ นักการเมือง ข้าราชการ นักธุรกิจ ที่ร่วมกันโกงจำนำข้าว บางส่วนติดคุกหัวโตอยู่
โครงการจำนำข้าวแบบ “ทักษิณคิดเพื่อไทยทำ” แท้จริง คือ การรับซื้อข้าวราคาแพงกว่าท้องตลาด แล้วนำข้าวไปกองในโกดัง รอให้พรรคพวกผู้มีอำนาจเข้ามาโกงกิน ซื้อถูกๆ ไปขายต่อ
ทั้งหมดของโครงการจำนำข้าว ไม่ได้ทำให้ชาวนาเข้มแข็งขึ้น มีประสิทธิภาพการผลิตสูงขึ้น มีความยั่งยืน อันจะสามารถสร้างรายได้ในอนาคตหรืออาจมีกำไรต่อๆ ไป ไม่เป็นไปตามแนวพระราชดำรัส “ขาดทุน คือกำไร”
มันต่างจากโครงการพัฒนาอันเนื่องมาจากพระราชดำริหลายๆ โครงการ ที่หากจะมีการรับซื้อพืชผลจากเกษตรกร ก็นำมาแปรรูป ทำการตลาด สร้างมูลค่าเพิ่ม มีการพัฒนาการผลิต พันธุ์พืช สอดคล้องกับการตลาด มีการลดต้นทุนการผลิตต่อหน่วย มีการพัฒนาคุณภาพชีวิตของเกษตรกร ยกระดับชีวิตและความเป็นอยู่เกษตรกรดีขึ้นอย่างยั่งยืน
3. นายทักษิณ ชินวัตร (ผู้ถูก ป.ป.ช.แจ้งข้อกล่าวหาคดีทุจริตข้าวจีทูจีลอต 2) พยายามฟอกขาวว่า เหตุโครงการจำนำข้าวขาดทุนมาก เพราะรัฐบาลเผด็จการเอาข้าวดีไปขายปนข้าวเน่า เพื่อกลั่นแกล้ง
นี่เป็นข้อแก้ตัวที่ไร้สาระมาก
ใครหลงลมปาก ผายลมทักษิณคงบอกว่าหอม
เพียงแค่ย้อนกลับไปตามข่าวในช่วงที่มีการตรวจสต๊อกข้าว ก็จะพบความจริงว่า ข้าวในโครงการ “ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ” นั้น เละเทะขนาดไหน มีทั้งข้าวหาย ข้าวกองล้ม ข้าวผิดประเภท ข้าวเน่า ข้าวเกรดซี ฯลฯ ข้าวดีแบ่งไปประมูลแล้ว ก็ต้องแบ่งข้าวเน่าประมูลขายให้โรงงานอุตสาหกรรม และบางส่วนที่ไม่คุ้มที่จะไปคัดแยกรายเมล็ด เพราะมันปะปนกันเละเทะ กองล้มระเนระนาด ก็ต้องประมูลขายรวมๆ ไป
ประการสำคัญ คณะอนุกรรมการปิดบัญชีโครงการจำนำข้าว เมื่อ 30 ก.ย. 2557 ได้สรุปตัวเลขขาดทุนทางบัญชีไว้แล้วว่ามีมูลค่าขาดทุน 536,908 ล้านบาท (คิดมูลค่าข้าวข้าวในสต๊อกตามบัญชีในราคาท้องตลาด)
ผลขาดทุนมหาศาลนั้น มันไม่ใช่เพิ่งมาโผล่ภายหลัง แต่คนที่ไม่ใช่ขี้ข้าระบอบทักษิณมองเห็นมาตั้งแต่สมัยยิ่งลักษณ์ยังเป็นนายกฯ แล้ว แต่พยายามนั่งทับขี้ไว้ นักข่าวกระทรวงพาณิชย์ก็เคยพยายามซักถามรัฐมนตรีจำนำข้าว แต่ก็ตอบอะไรไม่ได้เลย น่าอับอายที่สุด หน่วยงานรัฐ หน่วยงานตรวจสอบ สื่อมวลชน แม้แต่การอภิปรายไม่ไว้วางใจในสภาก็ทั้งแฉ ทั้งเตือน แต่รัฐบาลขณะนั้นก็ไม่นำพาใดๆ เลย
4. ที่ว่ารัฐบาลพลเอกประยุทธ์ ตามใช้หนี้โครงการจำนำข้าวให้รัฐบาลยิ่งลักษณ์ จึงเป็น
ความจริงที่แสนเจ็บปวด
ทยอยใช้หนี้ไปแล้วกว่า 7 แสนล้านบาท
ในงบปี 2565 ตั้งงบใช้หนี้จำนำข้าว 27,786 ล้านบาท (เงินต้น 23,000 ล้านบาท ดอกเบี้ย 4,786 ล้านบาท
และจะต้องตั้งงบใช้หนี้อย่างนี้ไปอีกนับ 10 ปี (โดยไม่ได้อะไรกลับมา)
ลองคิดเล่นๆ หนี้จำนำข้าวที่เหลืออยู่ 280,000 ล้านบาท เทียบกับมูลค่าโครงการก่อสร้างตึกสูงสุดในประเทศไทย 7 อันดับแรกขณะนี้
โครงการ G Land 18,000 ล้านบาท + หอคอยกรุงเทพ 4,700 ล้านบาท + One Bangkok 120,000 ล้านบาท + แมกโนเลียส์ วอเตอร์ฟร้อนท์ฯ ไอคอนสยาม 50,000 ล้านบาท + ตึกมหานคร 18,000 ล้านบาท + โฟร์ซีซั่น ไพรเวทฯ 19,000 ล้านบาท + ตึกใบหยก 2 (ตอนที่สร้างไม่ถึงหมื่นล้าน)
รวมทั้งหมดแล้ว ยังไม่เท่าจำนวนเงินที่รัฐบาลยังต้องตามใช้หนี้จำนำข้าว 280,000 ล้านบาท (โกงกันวายป่วง)
คิดเล่นๆ ถ้าไม่ต้องใช้หนี้จำนำข้าว สามารถเอาเงินไปสร้างตึกพวกนี้ไว้ใช้ประโยชน์ตามต่างจังหวัด ยังได้ทรัพย์สินอะไรกลับมาบ้าง
5. ส่วนที่โกหกกันกลางสภา ว่าโครงการจำนำข้าวเป็นนโยบายสาธารณะ ต้องมีตัวเลขขาดทุนเป็นธรรมดา รัฐบาลไหนก็ทำแบบนี้กันทั้งนั้น ช่างพูดได้ไม่อายปาก
เอาง่ายๆ รัฐบาลหลังยุคจำนำข้าว “ทักษิณคิดเพื่อไทยทำ” นอกจากตามใช้หนี้จำนำข้าวแล้วเขายังกำหนด “นโยบายสาธารณะ” ช่วยชาวนาด้วยเช่นกัน โดยเป็นนโยบายที่จ่ายเงินโอนเข้าบัญชีชาวนาโดยตรง และไม่ปล่อยให้เกิดการทุจริตโกงกินกันแบบจำนำข้าว
นั่นคือ ใช้นโยบายประกันรายได้เกษตรกร ตามแบบนโยบายที่พรรคประชาธิปัตย์หาเสียงไว้
การช่วยชาวนาด้วยนโยบายเช่นนี้ แตกต่างกับจำนำข้าวอย่างสิ้นเชิง ใช้เม็ดเงินน้อยกว่า มีขั้นตอนไม่ซับซ้อน เกษตรกรได้รับเงินส่วนต่างชดเชยเมื่อราคาตลาดต่ำกว่าราคาเป้าหมาย ไม่ทำลายกลไกการค้าและการส่งออกข้าว และไม่เปิดช่องให้มีคนเข้ามาโกงข้าวในสต๊อกรัฐบาล เพราะรัฐบาลไม่ได้รับซื้อข้าวจากชาวนา โดย 2 ปี ที่ผ่านมา ใช้เงินไปจ่ายช่วยชาวนาไปทั้งสิ้นประมาณ 1.4 แสนล้านบาท
สรุป
ผลขาดทุนในโครงการจำนำข้าว ยุครัฐบาล “ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ” ขาดทุนมากมายมหาศาล เพราะจงใจปล่อยให้มีการโกงมันจึงไม่ใช่ “ขาดทุน คือ กำไร” แต่เป็น “ขาดทุน คือ จัญไร”
สันติสุข มะโรงศรี
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี