สถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ในประเทศไทย ยังไม่ชะลอตัวลงเท่าที่ควรจะเป็นตัวเลขของจำนวนผู้ป่วยรายใหม่ยังคงอยู่ที่ระดับ มากกว่า 2,000 ราย ต่อเนื่องมาเป็นระยะเวลานานเป็นสัปดาห์แล้ว รวมทั้งในส่วนของเรือนจำ แม้จะทีท่าว่าจะลดลงจากระดับหลักพันเป็นระดับหลักร้อย ก็ยังมีผู้ป่วยใหม่ปรากฏอยู่ตลอดเวลา
อีกทั้งการระบาดในลักษณะของกลุ่มก้อน ทั้งในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ก็ยังเกิดขึ้นเกือบจะทุกวัน และแต่ละครั้งที่เกิดขึ้นก็มีผู้ป่วยเป็นจำนวนนับร้อยคน ทั้งนี้ถึงแม้ว่าภาครัฐจะพยายามทุ่มเทสรรพกำลังอย่างเต็มที่แล้วก็ตาม ทั้งในเรื่องของการจัดหาวัคซีนเพิ่มเติม การกระจายวัคซีนเพื่อให้เข้าถึงประชาชนตามกลุ่มเป้าหมาย เรียงลำดับตามความสำคัญของทั้งกลุ่มประชากรที่เป็นกลุ่มเสี่ยงและพื้นที่เสี่ยงด้วยก็ตาม
7 มิถุนายน 2464 ซึ่งเป็นวันที่รัฐบาลกำหนดให้เป็นวันดีเดย์แห่งการระดมฉีดวัคซีนให้กับประชาชนทั้งประเทศนั้น ถึงแม้ว่าการฉีดวัคซีนในวันนั้นจะผ่านไปได้ด้วยดี เรื่องที่มีการพูดกันว่าจะมีการเลื่อนฉีดวัคซีนในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ ถึงขนาดที่ทำให้โรงพยาบาลหลายแห่งทั้งของภาครัฐและเอกชน ต้องออกประกาศแถลงข่าวถึงการที่ต้องเลื่อนการฉีดวัคซีนไปก่อน เนื่องจากยังไม่ได้รับการส่งมอบวัคซีนจากภาครัฐ มีอยู่ในหลายพื้นที่
แต่เมื่อถึงวันที่ 7 มิถุนายน พื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศ ก็ได้รับการฉีดวัคซีนอย่างถ้วนทั่ว แม้ว่าในบางพื้นที่จะมีจำนวนวัคซีนที่ส่งไปถึงค่อนข้างน้อยก็ตาม ซึ่งทำให้ภาพรวมของการฉีดวัคซีนในวันที่ 7 มิถุนายน มีตัวเลขของผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนมากเกินกว่า 4 แสนรายและมีตัวเลขเฉลี่ยของการฉีดแต่ละวันจนถึงวันนี้มากกว่าวันละ 4 แสนรายเช่นกัน ซึ่งหากเป็นไปตามนี้ได้ตลอด ก็คาดว่าภายในสิ้นปีนี้ เป้าที่รัฐบาลตั้งไว้คือประชากรมากกว่า 70% หรือมากกว่า 50 ล้านคน ได้รับการฉีดวัคซีน ก็น่าจะเป็นจริงได้
เมื่อนับจำนวนการฉีดวัคซีนโควิดตั้งแต่วันแรก คือวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2564 จนถึงปัจจุบันนี้ มีประชากรที่ได้รับการฉีดวัคซีนไปแล้วรวมทั้งสิ้นประมาณ 7 ล้านคนและคาดว่า ภายในสิ้นเดือนมิถุนายนน่าจะมีผู้ได้รับการฉีดวัคซีนเป็นจำนวนรวมมากกว่า 10 ล้านคน ส่วนในเดือนต่อๆ ไปจนถึงสิ้นปีซึ่งเป็นระยะเวลาอีก 6 เดือนนั้นหากทั่วประเทศยังสามารถระดมฉีดวัคซีนได้ในอัตรา 4 แสนรายต่อวัน และในแต่ละเดือน จะมีผู้ได้รับการฉีดประมาณ10 ล้านราย
ฉะนั้นจนถึงปลายปีจะมีผู้ได้รับการฉีดวัคซีนแล้วอย่างน้อย 1 เข็ม เป็นจำนวนครบถ้วนตามเป้าหมายที่รัฐบาลตั้งไว้ ซึ่งถือว่าเป็นความสำเร็จที่เกิดขึ้นจากความตั้งใจอย่างแท้จริงของรัฐบาล และความร่วมมือจากประชาชนและองค์กรทุกภาคส่วนด้วย
ความสำเร็จ ของการระดมฉีดวัคซีนในครั้งนี้ หากจะแบ่งองค์ประกอบที่จะนำไปสู่ความสำเร็จ จะมีอยู่ 3 ส่วนใหญ่
ด้วยกันคือ การจัดหาวัคซีน การจัดสรรและกระจายวัคซีนและการจัดฉีดวัคซีน ซึ่งทั้ง 3 ส่วนนี้จะต้องมีความสอดคล้องและหน่วยงานต่างๆ ที่ทำหน้าที่ต้องมีการสอดประสานหน้าที่ซึ่งกันและกันอย่างดีที่สุด ไม่ใช่เป็นลักษณะของการชิงดีชิงเด่น เพื่อสร้างผลงานให้กับส่วนงานใดส่วนงานหนึ่ง
ในส่วนของการจัดหาวัคซีน ซึ่งถือว่าเป็นส่วนสำคัญที่สุด จนถึงปัจจุบันนี้ รัฐบาลได้จัดหาวัคซีนเข้ามาทั้งหมดแล้วเป็นจำนวนทั้งสิ้นหากนับจนถึงวันนี้ จะอยู่ที่ประมาณ 7 ล้านโดส ซึ่งรวมวัคซีนของทั้ง 2 ยี่ห้อ คือทั้ง ซิโนแวคและแอสตราเซเนกา ทั้งนี้ได้มีการฉีดให้กับประชาชนไปแล้วจำนวนร่วม 7 ล้านคน และหากทุกอย่างเป็นไปตามที่วางแผนไว้ จนถึงสิ้นเดือนมิถุนายนจะจัดหาวัคซีนได้รวมทั้งหมด ประมาณ 10 ล้านโดส ก็จะฉีดให้กับประชาชนได้ถึงประมาณ 10 ล้านคนเป็นอย่างน้อย ซึ่งเป็นจำนวนเกินกว่า 20% ของกลุ่มเป้าหมายทั้งหมด ซึ่งเชื่อว่าจะมีส่วนช่วยให้สถานการณ์การระบาดเริ่มดีขึ้นบ้าง ไม่มากก็น้อย เนื่องจากผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนแล้ว อยู่ในกลุ่มเสี่ยงเป็นส่วนใหญ่รวมทั้งพื้นที่เสี่ยงด้วย จึงเห็นว่าหัวใจแห่งความสำเร็จ ของโครงการวัคซีนเพื่อชาติ จะอยู่ที่ความสามารถในการจัดหาวัคซีนให้เพียงพอ และครบถ้วนตามเป้าหมายของภาครัฐ
ตามแผนการเดิมนั้น วัคซีนแอสตราเซเนกาจะได้รับการจัดส่งให้กับกระทรวงสาธารณสุข ในเดือนมิถุนายน 6 ล้านโดส และตั้งแต่เดือนกรกฎาคมเป็นต้นไป เดือนละประมาณ 10 ล้านโดส รวมทั้งวัคซีนซิโนแวคอีกไม่น้อยกว่า 5 ล้านโดสจนถึงปลายปีนี้ ทั้งแผนการเพิ่มเติมในการจัดหาวัคซีนจากประเทศสหรัฐอเมริกา คือของไฟเซอร์ 20 ล้านโดส และจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน อีก 5 ล้านโดส ประมาณไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ ประกอบกับการเปิดโอกาสให้องค์กรและภาคเอกชน อาทิ สถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ จัดหาวัคซีนซิโนฟาร์มจากประเทศจีน เข้ามาในเบื้องต้นประมาณ1 ล้านโดส และสมาคมโรงพยาบาลเอกชน ซึ่งจะสั่งวัคซีนโมเดอร์นาเข้ามาอีกเป็นจำนวนนับล้านโดส เช่นกัน ก็จะทำให้จำนวนวัคซีนที่มีอยู่ในประเทศ เพียงพออย่างแน่นอน
เรื่องสำคัญรองลงมา คือ เรื่องของการจัดสรรและกระจายวัคซีน ไปยังภาคส่วนต่างๆ ของประเทศ ทั้งในกรุงเทพฯ และปริมณฑล รวมทั้งต่างจังหวัด รวมทั้งสิ้น 77 จังหวัด ขณะนี้การกระจายของวัคซีนส่วนใหญ่ยังคงอยู่ในกรุงเทพฯและปริมณฑล ซึ่งเป็นพื้นที่เสี่ยงสีแดงมาเกือบตลอดในรอบของการระบาดในระลอกที่ 3 การกระจายของวัคซีนจึงถูกกระจายไว้ในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑลเป็นจำนวนมาก จนทำให้มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของการที่จังหวัดต่างๆ ได้รับการจัดสรรวัคซีนในรอบนี้เป็นจำนวนน้อยกว่าที่ควรจะเป็น เมื่อเทียบกับสัดส่วนของประชากรและความเสี่ยงที่เกิดขึ้น ยกตัวอย่างบางพื้นที่ที่อยู่ห่างไกล เช่น อำเภอทองผาภูมิ ในจังหวัดกาญจนบุรี ได้รับวัคซีนแอสตราเซเนกาไปเพียง 1 ขวด ซึ่งจะฉีดให้กับประชาชนได้เพียง 10 หรือ 11 คน เท่านั้น
เรื่องสุดท้าย ซึ่งเคยเป็นเรื่องที่กล่าวขวัญกันมาก แต่ปัจจุบันดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่สำคัญน้อยที่สุด คือเรื่องการจัดฉีดวัคซีน ซึ่งเดิมทีนั้น ประชาชนจำนวนไม่น้อยมีทีท่าที่ไม่อยากจะได้รับการฉีดวัคซีน เนื่องจากข่าวสารต่างๆ ทำให้คิดไปได้ว่า วัคซีนที่ภาครัฐจัดหามานั้น ไม่มีคุณภาพเท่าที่ควร และก่อให้เกิดภยันตรายหลังการฉีดได้เป็นอย่างมาก แต่ปัจจุบันนี้ กระแสดังกล่าวได้หายไปจนเกือบหมดสิ้นแล้ว มีแต่เสียงเรียกร้องของประชาชน ว่าจะทำอย่างไรให้ได้รับการฉีดวัคซีนโดยเร็วที่สุด โดยไม่เกี่ยงว่าจะเป็นวัคซีนยี่ห้อใดๆ
ในส่วนของกรุงเทพมหานคร ได้มีการจัดฉีดวัคซีนให้กับประชากรกลุ่มต่างๆ โดยเน้นกลุ่มเสี่ยง เช่น พนักงานขับรถสาธารณะ วินมอเตอร์ไซค์ พนักงานส่งของต่างๆ โดยได้มีการจัดฉีดวัคซีนไปแล้วตั้งแต่ก่อนวันที่ 7 มิถุนายน ตามสถานที่ต่างๆถึง 25 จุด ซึ่งแต่ละจุดสามารถจะจัดฉีดได้วันละเป็นพันราย นอกจากนี้ในส่วนของสำนักงานประกันสังคม ก็ได้จัดให้มีการฉีดวัคซีนให้กับผู้ที่อยู่ในระบบประกันสังคมด้วย เป้าหมายในกรุงเทพฯคือ 1 ล้านคน ในสถานที่ต่างๆมากกว่า 20 จุดเช่นเดียวกัน ทั้งนี้ไม่นับรวมการจัดฉีดในโรงพยาบาลและสถานพยาบาลทั้งของภาครัฐและเอกชนซึ่งได้ดำเนินการอยู่แล้ว
โดยการลงทะเบียนของประชาชนเพื่อเข้ารับการฉีดวัคซีนนั้นสามารถจะทำผ่าน เว็บไซต์ไทยร่วมใจหรือเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชั่นของแต่ละจังหวัดที่ได้จัดเตรียมไว้ และประชาชนส่วนใหญ่ก็มีความเข้าใจที่จะใช้งานได้แล้ว
ส่วนในต่างจังหวัดนั้น กระทรวงสาธารณสุขได้จัดการให้มีจุดฉีดวัคซีนในทุกจังหวัดรวมกันมากกว่า 993 จุด ซึ่งจะมีการจัดจุดฉีดเพิ่มเติมตามมาอีก โดยการลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชั่นของจังหวัด รวมทั้งเว็บไซต์ ไทยร่วมใจได้ด้วย ภายใต้ความรับผิดชอบของท่านผู้ว่าราชการจังหวัด และสาธารณสุขจังหวัดทั่วประเทศ โดยจะมีแรงสนับสนุนที่สำคัญคืออาสาสมัครสาธารณสุข ที่มีการกระจายตัวอยู่ในทุกพื้นที่ ซึ่งจะทำให้ การลงทะเบียนและเข้ารับการฉีดวัคซีนของประชาชนในทุกส่วน เรียงตามลำดับความเสี่ยงและความสำคัญของพื้นที่ เป็นไปอย่างครบถ้วน
โดยการลงทะเบียนของประชาชนเพื่อเข้ารับการฉีดวัคซีนนั้นสามารถจะทำผ่าน เว็บไซต์ไทยร่วมใจ หรือเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชั่นของแต่ละจังหวัดที่ได้จัดเตรียมไว้ และประชาชนส่วนใหญ่ก็มีความเข้าใจที่จะใช้งานได้ดีขึ้นแล้ว
ข่าวการชะลอการส่งมอบวัคซีนของแอสตราเซเนกาในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมานี้ อาจจะทำให้เกิดความวิตกกังวลกับรัฐบาล เพราะนอกจากจะกระทบต่อความเชื่อมั่นที่ประชาชนมีต่อรัฐบาลแล้ว ผู้ปฏิบัติงานทั้งต้นทางและปลายทางก็จะได้รับผลกระทบไม่น้อยไปกว่ากัน เสียงของประชาชนที่ออกมาในทางลบต่อรัฐบาลจากการเลื่อนการฉีดวัคซีนจะเกิดขึ้นอย่างมากมาย ผู้ปฏิบัติงานต้นทางก็จะมีปัญหาเรื่องการจัดสรรและกระจายวัคซีน
ส่วนผู้ปฏิบัติงานงานปลายทางซึ่งเป็นผู้จัดให้มีการฉีดวัคซีนก็จะได้รับการร้องเรียนและการสอบถามเรื่องการเลื่อนกำหนดการฉีดวัคซีนว่าจะเป็นเมื่อไร อย่างไร ซึ่งโรงพยาบาลก็ไม่มีวันที่จะตอบได้อย่างชัดเจน จึงได้แต่ภาวนาว่ารัฐบาลจะนำวัคซีนซิโนแวคลอตล่าสุดจำนวน 1 ล้านโดสซึ่งเพิ่งจะมาถึง และได้รับการตรวจคุณภาพโดยองค์การเภสัชฯ ออกมาใช้ทดแทนได้ทันในวันที่ 14 มิถุนายนนี้ แม้อาจจะไม่ครบในทุกพื้นที่ ก็ยังดีกว่าไม่มีอะไรเลย
และขณะนี้ก็เป็นที่แน่นอนแล้วว่า ตั้งแต่วันที่ 14 ถึง 20 มิถุนายน ประชาชนกลุ่มผู้สูงอายุเกิน 60 ปี และมีโรคกลุ่มเสี่ยง 7 โรค ที่ลงทะเบียนผ่านหมอพร้อม โดยเฉพาะในกรุงเทพมหานคร เพื่อขอรับการฉีดวัคซีนในช่วงดังกล่าวจะไม่ได้รับการฉีดอย่างแน่นอน เพราะโรงพยาบาลต่างๆ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นโรงพยาบาลเอกชนที่ได้ให้ความร่วมมือกับภาครัฐในการฉีดวัคซีนดังกล่าวให้กับประชาชน จะไม่ได้รับการจัดสรรวัคซีน โดยยังไม่มีคำตอบจากภาครัฐอย่างชัดเจนว่าจะได้รับการจัดสรรวัคซีนมาเมื่อใด
ผมเชื่อว่า คนไทยทุกคน ที่มีความรักและปรารถนาดีต่อประเทศชาติ ทุกคงเฝ้ารอความสำเร็จของวาระวัคซีนแห่งชาติ ซึ่งนอกจากจะทำให้ประชาชนส่วนใหญ่ได้รับวัคซีนป้องกันโรคร้ายเป็นจำนวนมากพอเพียง ที่จะป้องกันตัวเองจากการได้รับอันตรายจากโรคโควิด-19 ยังจะทำให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ในระดับประเทศ ซึ่งจะทำให้ประเทศไทยของเรากลับสู่ภาวะที่ใกล้เคียงปกติเหมือนเดิม ทั้งทางด้าน สังคม เศรษฐกิจ และการเมือง จึงต้องถือว่า สิ่งที่กำลังดำเนินการอยู่ในขณะนี้ เป็นเรื่องของการทํานุบํารุง ประเทศชาติ ช่วยตน ช่วยชาติอย่างแท้จริง
นายแพทย์ปิยะ เนตรวิเชียร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี